วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

BPP ส่งเสริม ‘Sense of Ownership’ บริหารธุรกิจระหว่างประเทศมูลค่าแสนล้าน

 


การเปลี่ยนองค์กรให้ก้าวเข้าสู่การเติบโตที่ยั่งยืน มีหนึ่งพื้นฐานที่สำคัญ คือ การสร้าง “คน” ให้มีแนวคิดขับเคลื่อนการเติบโตของตัวเองไปพร้อมกับองค์กร เช่นเดียวกับบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ที่สามารถขยายพอร์ตธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ภายในระยะเวลา 3 ปีของ กิรณ ลิมปพยอม ที่ก้าวขึ้นมาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริหารธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากสินทรัพย์มูลค่า 5 หมื่นล้านบาทจนมาแตะระดับแสนล้านในปัจจุบัน ด้วยการขยายอาณาจักรธุรกิจใน 8 ประเทศทั่วโลก โดยใช้คีย์แมนคนไทยกลุ่มเล็ก ๆ ที่ผูกรวมการสร้างคุณค่าของตนเองกับองค์กรเป็นหนึ่งเดียว

“คนหรือบุคลากร เป็นกำลังสำคัญ ซึ่งเราเน้นที่การสร้าง ‘Sense of Ownership’ เชื่อหรือไม่ว่าพนักงานของ BPP หรือคีย์แมนของเราที่ช่วยกันขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินหน้าและเติบโตมีเพียงประมาณหลักสิบ แต่สร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ เพราะทุกคนช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ด้วยความรู้สึกเป็นเจ้าของงานร่วมกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน” กิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าว

รู้สึกร่วมจาก ‘Trust’ ไว้ใจและเชื่อมือ
BPP เข้าใจในการจับคู่คนให้ถูกกับงาน ดึงจุดแข็งแต่ละคนมาสร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงเปิดโอกาสและส่งเสริมการทำงานของคีย์แมนในทุกตำแหน่ง (Empowerment) โดยในระยะหลัง BPPไว้วางใจให้คีย์แมนรุ่นใหม่รับมอบหมายงานที่สำคัญ อย่างเช่น การเป็นตัวแทนจากสำนักงานใหญ่ไปปฏิบัติหน้าที่ในโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ ที่ถือเป็นสินทรัพย์สำคัญต่อการเติบโตของบริษัทฯ เพื่อให้ตัวพนักงานเองได้ปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ ขณะเดียวกันก็เพื่อสร้างความเป็นเจ้าของให้เขาได้งัดเอาทั้งทักษะความชำนาญทางเทคนิค รวมทั้งทักษะการบริหารคนและสถานการณ์มาใช้ โดยมีความสำเร็จของงานเป็นเป้าหมายปลายทาง

ในครั้งที่หน่วยผลิตหนึ่งของโรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) สปป.ลาว ซึ่ง BPP ถือหุ้นอยู่เกิดเหตุชำรุดและต้องหยุดแก้ไขเพื่อให้กลับมาผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลังการผลิตให้ไวที่สุด เราจึงมอบหมายให้คีย์แมนที่เป็นวิศวกรไฟฟ้าของ BPP หนึ่งคนไปเข้าร่วมการบำรุงรักษาประจำปีกับทีมงานท้องถิ่น โดยนำประสบการณ์ด้านการทำงานร่วมกับผู้รับเหมาต่างชาติ ความรู้เชิงเทคนิคในการตรวจสอบ วิเคราะห์ และการซ่อมเครื่องไปแชร์กับทีมงาน ซึ่งช่วยทำให้การทำงานราบรื่นและรวดเร็วมากขึ้น โรงไฟฟ้าสามารถกลับมาเดินเครื่องผลิตได้ตามปกติภายในกำหนดเวลา

นอกจากนี้ เรายังส่งคีย์แมนในแผนกบริหารสินทรัพย์ที่มีแพชชั่นในการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตในโรงไฟฟ้า ไปเรียนรู้และทำงานกับทีมงานท้องถิ่นที่โรงไฟฟ้าของ BPP ในสหรัฐฯ เพื่อทำงานเดิมที่เขาถนัด และงานที่ไม่ตรงกับสายงานวิศวกรรมเครื่องกลที่เขาเชี่ยวชาญ คือ งานด้านความยั่งยืน ที่เรามอบหมายให้เขาเป็นผู้ประสานงานในการจัดเตรียมและตรวจสอบข้อมูลทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความยั่งยืนของโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ รวมถึงการค้นหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตในโรงไฟฟ้าของเราที่นั่นได้ ซึ่งในขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้
 
“โรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ใน 2 ประเทศที่เราส่งคีย์แมนไป ถือเป็นสินทรัพย์สำคัญในการสร้างกระแสเงินสดให้ BPP ที่สปป.ลาว เป็นโรงไฟฟ้าที่สร้างส่วนแบ่งกำไรให้ BPP จำนวนมากในปีที่ผ่านมา สำหรับที่สหรัฐฯ นั้น เป็นโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ที่มีกำลังผลิตไฟฟ้ามากที่สุดในปีที่ผ่านมา และสร้างรายได้ให้ BPP มากที่สุดเช่นกัน ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท แต่ทำไมเราถึงกล้าส่งวิศวกรหนุ่มไปลุยงาน เพราะที่นี่เรายึดถือเรื่องความไว้ใจกันในการทำงาน ผมเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพ มีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ และตั้งใจทำงานออกมาให้ดีที่สุด โดยที่ไม่ต้องคอยกำกับในทุกรายละเอียด แต่เปิดโอกาสให้ตัดสินใจภายใต้กรอบความรับผิดชอบ การได้รับมอบหมายงานที่สำคัญจะทำให้เขาได้เรียนรู้ และฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ เกิดความภาคภูมิใจในการทำงานที่สามารถสร้างคุณค่าให้ทั้งตัวเองและองค์กรไปได้พร้อม ๆ กัน” กิรณกล่าวถึงการเชื่อใจในศักยภาพของทีม

รู้สึกร่วมจากการ ‘Connect’ สื่อสาร เห็นภาพเดียวกันเสมอ
การสื่อสารใน BPP เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงอัปเดตความคืบหน้าแต่ยังเป็นการช่วยกันระดมความคิดในการแก้ไขปัญหาหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ทันท่วงที ทัศนคติที่เชื่อว่าสามารถทำได้ (Can-do attitude) และความทุ่มเทของทีมที่บ่มเพาะจากการถ่ายทอดของผู้บริหารด้วยการเป็นแบบอย่าง (Role Model) ที่ดี เป็นส่วนสนับสนุนให้ BPP ก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ มาได้
 
"ถึงแม้คีย์แมนของเราส่วนใหญ่จะเป็นสายวิศวกรรม แต่ก็ปล่อยเครื่องจักรทำงานตามระบบอย่างเดียวไม่ได้ คนที่ทำหน้าที่ควบคุมต้องคุยกันเสมอ ผู้บริหารทุกระดับ หน่วยงานด้านวิศวกร หน่วยงานด้านบริหารสินทรัพย์ และหน่วยงานสนับสนุน ทุกคนต้องเห็นภาพสำเร็จเดียวกัน ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถปิดดีลใหญ่ ๆ ได้สำเร็จ อย่างที่ผ่านมาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทุกคนต้องทำงานจากที่บ้าน (WFH) 100% แต่เรายังสามารถปิดดีลซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ Temple I ในสหรัฐฯ มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาทได้ นับเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในรอบหลายปีที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุด ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรค ตราบใดที่มีความตั้งใจและความพยายาม”
 
ทั้งนี้ เป้าหมายของ BPP ในการขยายกำลังผลิตไฟฟ้าให้ถึง 5,300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 เราก็ต้องย้ำการสื่อสารอยู่อย่างต่อเนื่อง ให้ทุกคนเข้าใจและเห็นภาพใหญ่ร่วมกัน พร้อมใจจะไปให้ถึงได้ตามเป้า

รู้สึกร่วมจาก ‘โอกาสดี ๆ’ ที่สร้างประสบการณ์และเสริมความผูกพัน (Employee Experience & Engagement)
ไม่เพียงแต่การทำงานที่เข้มข้นด้วยการให้คุณค่าและสร้างความภาคภูมิใจ แต่ BPP ยังตั้งใจสร้างความสุขและความพึงพอใจให้คีย์แมน ด้วยการสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน รวมถึงวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง เพื่อให้เกิดความผูกพันและอยากร่วมงานกันในระยะยาว
 
ทุกเดือน จะมีช่วงเวลาแห่งความผ่อนคลาย (Relax Session) ที่ทุกคนมาร่วมทานอาหารว่างกันแบบสบาย ๆ 2-3 ครั้ง โดย CEO จะมาพูดคุยกับคีย์แมนว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทฯ บ้าง ในแง่มุมที่พวกเขาอาจจะยังไม่เคยทราบ ซึ่งเขาก็สามารถแสดงความคิดเห็นและสื่อสารกับ CEO ได้โดยตรง ช่วยลดช่องว่างการเข้าถึง และเพิ่มความเชื่อมั่นในผู้บริหาร รวมถึงเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมในองค์กร
 
“ประสบการณ์ที่ดีไม่ควรเกิดขึ้นกับคู่ค้าหรือลูกค้าเท่านั้น แต่กับพนักงานที่เป็นคีย์แมน เราก็ต้องทำให้เกิดขึ้นทุกจุดที่เขาได้มีประสบการณ์ร่วมกับบริษัทฯ (Touchpoint) เช่นกัน เราให้เขามีส่วนร่วมในการออกแบบแผนพัฒนาตนเอง ที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและความสนใจของเขาเองในหลากหลายรูปแบบ ในขณะที่วัฒนธรรมองค์กร “บ้านปู ฮาร์ท” ยังสามารถหล่อหลอมทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียว และมีความเคารพซึ่งกันและกัน จึงก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีและเป็นกันเอง มีความร่วมแรงร่วมใจกันในการทำงาน เรายังปลูกฝังเรื่องการยอมรับความแตกต่างให้คีย์แมนทุกคน เพราะเขาต้องทำงานร่วมกับทีมงานในต่างประเทศที่ไม่เหมือนเราทั้งภาษา เชื้อชาติ และวัฒนธรรม เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น และเกิดพลังร่วมในองค์กร”
 
การสร้าง “คน” ให้มี ‘Sense of Ownership’ ความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าขององค์กรไม่ใช่เรื่องง่าย ความแตกต่างของอุตสาหกรรม ธุรกิจ และบริบทภายในของแต่ละองค์กร เป็นหนึ่งในตัวแปรที่ทำให้วิธีการในการสร้างเรื่องดังกล่าวให้ประสบความสำเร็จนั้น แตกต่างกันออกไป ซึ่งการค้นหาวิธีการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ แม้จะต้องใช้ความทุ่มเท ความพยายาม และเวลา แต่ผลลัพธ์นั้นคุ้มค่าอย่างมหาศาล ดังเช่นผลสำเร็จของ BPP ที่ทุกคนมีจุดมุ่งหมาย (Purpose) เดียวกัน มองเห็นคุณค่าร่วมกัน และสร้างความยั่งยืนให้ทั้งคนและองค์กรไปด้วยกัน

เวเนโต้ สวนผึ้ง ธรรมชาติ สวยๆ จูงมือกันเที่ยว เตรียมรับลมหนาว เคล้าคลอดนตรี ชิลไม่ไหวไปกับ Chang Music Connection Presents Season of Love Song ครั้งที่ 13

 


ราชบุรี 2023 เมืองแห่งการท่องเที่ยวพักกายพักใจที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เพราะมีสถานที่เที่ยวมากมายให้ได้ไปสัมผัส มีแลนมาร์คให้ได้ถ่ายรูปสวยๆพร้อมเช็คอินตะลุยเพลิน ทั้งกิน-เที่ยวครบ จบในจังหวัดเดียว และเมื่อนึกถึงราชบุรี อันดับต้นๆที่หลายคนจะไปแวะท่องเที่ยวก็คือ "อำเภอสวนผึ้ง" หรือเรียกสั้นๆว่า “สวนผึ้ง” สถานที่ซึ่งเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งทิวเขาที่ทอดตัวยาวจนสุดลูกตา ด้วยภูมิประเทศที่เปี่ยมไปด้วยทัศนียภาพและมนต์เสน่ห์ที่งดงาม
                                                                                                                                                                                                        
และเมื่อพูดถึง อ.สวนผึ้ง อีกสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต้องนึกถึง คือ เวเนโต้ สวนผึ้ง  (Veneto SuanPhueng) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม เป็นแลนมาร์คแห่งการพักผ่อนที่ผสมผสานธรรมชาติ ท่ามกลางขุนเขาและทะเลสาบอันงดงามขนาดใหญ่กว่า 20 ไร่ พร้อมไปด้วยจุดถ่ายภาพหลากหลายที่บรรจงสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะโซนถ่ายภาพ 4 มิติ/โซนแบล็คไลท์ สะท้อนแสง และเปิดประสบการณ์ที่น่าจดจำไปกับการ “ป้อนอาหาร” และ “สัมผัสอย่างใกล้ชิด“ จากปลาคาร์ฟ นับแสนตัว / กรงนกใหญ่ ซันคอนัวร์ / ฟาร์มกระต่ายหูตก ขนฟู / ม้าพันธุ์เล็ก Shetland และหงส์ขาว เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ  รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆอีกมากมายให้ได้เพลิดเพลิน นอกจากนี้ เวเนโต้ สวนผึ้ง ไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังมีเทศกาลดนตรี Season of Love Song งานดนตรีสุดฮิตยอดนิยมที่ติดอันดับหนึ่งในช่วงฤดูหนาวที่นักท่องเที่ยวและแฟนเพลงหลายหมื่นคนเฝ้ารอ จนกลายเป็นการปักหมุดแลนด์มาร์คครั้งสำคัญของ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี  ซึ่งปีนี้ก็ได้ถูกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 13
                                                                                                                  
มาร่วมผจญภัยไปกับบรรยากาศแห่งความรักที่เต็มไปด้วยความสุขและเสียงเพลง ในเทศกาลดนตรี Chang Music Connection Presents  Season of Love Song ครั้งที่ 13 “Wonderland” มหัศจรรย์ดินแดนแห่งความสุข ตื่นตะลึงไปกับเวทย์มนต์ของแสง-สี-เสียง พร้อมด้วยโชว์สุดพิเศษของ 20 ศิลปิน กว่า 50 ชีวิต อาทิ Bodyslam / Palmy / NONT TANONT / Tattoo Colour / Pop & Oat และอื่นๆอีกมากมาย มาเซอร์ไพรส์แบบจัดหนักต่อเนื่อง 17 ชั่วโมง อีกทั้งยังมี Popsitive Zone ที่ให้มาร่วมแต่งคัพเค้กสุดน่ารัก ติดแทททูแสนเก๋ร่วมกัน และได้จัดเตรียมร้านอาหาร Food Truck เครื่องดื่มที่คัดสรรคุณภาพมาเป็นพิเศษนับร้อยร้านมาให้บริการกันอย่างทั่วถึง พร้อมห้องน้ำที่จัดอย่างเพียงพอ เพิ่มความสะดวกสบายของการเดินทางด้วยบริการรถตู้จากกรุงเทพฯ และรถตู้จาก Big C ราชบุรี ถึงหน้างาน อีกทั้งยังมีลานจอดรถขนาดใหญ่กว่า      5 แห่ง พร้อมรถสองแถวบริการรับส่งจากลานจอดรถถึงหน้างาน แล้วมาเจอกันในวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2566 ณ เวเนโต้ อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

สามารถซื้อได้ที่เว็บไซต์คลิกได้เลยที่ https://bit.ly/SOLS13-AllTicket และเคาน์เตอร์เซอร์วิส All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ
ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวได้ที่ https://www.facebook.com/Seasonoflovesong  

#SeasonofLoveSong #SoLS13 #Wonderland #Chang #ChangMusicConnection
#มหัศจรรย์ดินแดนแห่งความสุข #CreateIntelligence #CI



เฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสอันอบอุ่นและช่วงเวลาแสนพิเศษที่ได้อยู่พร้อมหน้า ด้วยอาหารมื้อพิเศษ ณ โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ พบกับบุฟเฟต์มื้อสายและมื้อค่ำวันคริสต์มาสอีฟ และบุฟเฟต์มื้อสายวันคริสต์มาสที่ห้องอาหารวูว์

 


กรุงเทพฯ, ประเทศไทย 29 พฤศจิกายน 2566  โรงแรมเดอะเซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ เชิญชวนทุกท่านเติมเต็มความสุขในช่วงเทศกาลคริสต์มาสด้วยมื้ออาหารที่อบอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งการเฉลิมฉลอง เพลิดเพลินไปกับบุฟเฟต์มื้อสายและมื้อค่ำวันคริสต์มาสอีฟ รวมถึงบุฟเฟต์มื้อสายวันคริสมาสต์ ตั้งแต่วันที่ 24-25 ธันวาคม 2566 ณ ห้องอาหารวูว์บนชั้น 12

อิ่มเอมไปกับบุฟเฟต์มื้อสายและมื้อค่ำในวันคริสต์มาสอีฟ ที่มาพร้อมกับเมนูคลาสสิกประจำเทศกาลคริสมาสต์อย่าง ไก่งวงอบลาเวนเดอร์ และแฮมอบน้ำผึ้งไทย เพลิดเพลินต่อกับเมนูอาหารทะเลพรีเมียมที่คัดสรรมาอย่างดี อาทิ ปลาคอดย่างมิโซะเสิร์ฟพร้อมไข่ปลาคาเวียร์ หอยเชลล์ย่าง สลัดกุ้งล็อบสเตอร์ตุ๋นแชมเปญ พร้อมตัวเลือกเมนูมังสวิรัติ อาทิ มันฝรั่งหั่นบางวางสลับระหว่างชั้นกับเห็ดทรัฟเฟิลดำและชีสพาเมซาน ซุปเห็ดทรัฟเฟิลขาวและเกาลัด ผักสควอชยัดไส้ และรีซอตโตเข้มข้นเสิร์ฟร้อนๆ ปิดท้ายความอร่อยด้วยเมนูของหวานช่วงเทศกาลคริสต์มาส อาทิ เค้กขอนไม้รสมัทฉะและส้มยูซุ เค้กขอนไม้บุชเดอโนเอล และเค้กโดมรสราสป์เบอร์รีไวท์ช็อคโกแลต เป็นต้น

เติมเต็มช่วงเวลาแห่งความสุขในวันคริสต์มาสด้วยบุฟเฟต์มื้อสายที่รวบรวมเมนูสุดคลาสสิกประจำเทศกาลคริสมาสต์ และเมนูนานาชาติมากมาย อาทิ ไก่งวงอบสมุนไพรและน้ำผึ้งไทย แฮมอบโฮลเกรนมัสตาร์ด บีฟเวลลิงตันจากเนื้อวากิวออสเตรเลียพร้อมซอสเห็ดทรัฟเฟิลขาว เมนูกุ้งล็อบสเตอร์ตุ๋นกะทิหอมกลิ่นวานิลลา กุ้งลายเสือเผา รีซอตโตใส่แชมเปญรสเข้มข้น ส่งท้ายมื้อสุดพิเศษอย่างสมบูรณ์แบบด้วยเมนูขนมหวาน อาทิ เค้กโอเปร่ารสช็อคโกแลตราสป์เบอร์รี พัฟโลวาเสาวรสและมะม่วง เค้กขอนไม้รสไวท์ช็อกโกแลตอัลมอนด์ และพาเนตโทเนผสมเบอร์เบิน

เฉลิมฉลองเทศกาลคริสมาสต์อย่างสุขสันต์ด้วยบุฟเฟต์สุดพรีเมียม ณ ห้องอาหารวูว์บนชั้น 12 ในวันที่ 24 ธันวาคม 2566 พบกับบุฟเฟต์มื้อสาย (เวลา 12.30 น.- 15.30 น.) และมื้อค่ำในวันคริสมาสต์อีฟ (เวลา 18.00 น.- 22.00 น.) ฉลองอย่างต่อเนื่องในวันที่ 25 ธันวาคม 2566 ด้วยบุฟเฟต์มื้อสายวันคริสมาสต์ (เวลา 12.30 น.- 15.30 น.) ราคา 4,900++ บาทต่อท่านรวมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่มแพ็คเกจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พรีเมียมแบบไม่จำกัด ในราคา 2,200++ บาทต่อท่าน หรือเพิ่มแพ็คเกจแชมเปญ Bollinger และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พรีเมียมไม่จำกัด ในราคา 3,500++ บาทต่อท่าน

สำหรับเด็กอายุ 4-12 ปี รับประทานอาหารในราคา 2,300++ บาทต่อท่าน และเด็กที่อายุต่ำกว่า 4 ปี รับประทานฟรีต่อผู้ใหญ่หนึ่งท่าน

บุฟเฟต์ฉลองเทศกาลคริสมาสต์ ณ ห้องอาหารวูว์ เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการเฉลิมฉลองสิ้นปี Festive Nostalgia” ของโรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ โดยประกอบไปด้วยข้อเสนอต่างๆ มากมาย จากร้านอาหารดาวมิชลิน 1 ดวง อิกนีฟ แบงคอก เสิร์ฟอาหารยุโรปสมัยใหม่สไตล์ไฟน์ไดน์นิ่งแบบแชร์ริ่ง ห้องอาหารวูว์เสิร์ฟอาหารรสเลิศพร้อมทัศนียภาพที่สวยงามของท้องฟ้ากรุงเทพฯ แพ็คเกจสปา และอีกมากมาย

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์ 02 207 7777 หรืออีเมล fb.bangkok@stregis.com หรือลิงก์ http://sevn.ly/xKH5qNvt 

 

ติดต่อผ่านช่องทางออนไลน์

Website                                    www.stregisbangkok.com
Facebook                                  https://www.facebook.com/TheStRegisBangkok
Instagram                                 @stregisbangkok
Line Official Account                @stregisbangkok

 

แผนกประชาสัมพันธ์:

 

โรงแรม เดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ

 

ณัฐสินี เขียวเพียร

ศุภิสรา ปัญญาธนวัฒน์

ผู้อำนายการฝ่ายสื่อสารการตลาด

เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารการตลาด

E: Natsinee.Keawpiean@stregis.com

E: Supisara.p@stregis.com

T: +66 (0) 2 207 7737

T: +66 (0) 2 207 7735


ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ชี้ การคาดการณ์ DCIM 3.0 มาถูกทาง เควิน บราวน์ รองประธานอาวุโส EcoStruxure Solutions ธุรกิจ Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

 


ก่อนหน้านี้เราได้บัญญัติคำว่า DCIM 3.0 เพื่ออธิบายถึงวิวัฒนาการที่เห็นในตลาดซอฟต์แวร์ด้านการจัดการโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล ที่เรียกได้ว่า เป็นความท้าทายใหม่ๆ ที่จะผลักดันแนวโน้มไปสู่ 'DCIM รุ่นต่อไป'

DCIM 3.0 บ่งบอกถึงวิวัฒนาการซอฟต์แวร์ใน 3 ยุค โดยยุคแรก DCIM 1.0 เริ่มในทศวรรษที่ 1980 ด้วย UPS ขนาดเล็กบนพีซีเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์มาช่วยในการจัดการ ต่อมา DCIM 2.0 เริ่มในปี 2000 เมื่อพีซีเซิร์ฟเวอร์เปลี่ยนมาสู่รูปแบบของแร็ค (rack) ซ้อนกันเป็นชั้นๆ และเริ่มย้ายมาอยู่ในศูนย์ข้อมูล ซึ่งทำให้เกิดความท้าทายในการวางแผนรูปแบบใหม่ ทั้งในส่วนของพื้นที่ พลังงาน และความสามารถในการระบายความร้อน และถัดมาในปี 2020 คือ DCIM 3.0 ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิดได้ตอกย้ำถึงภารกิจสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีในทุกที่ ไม่เฉพาะแต่ในศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิม

เรามองว่าการขยายการใช้งานไอทีแบบไฮบริด (“ศูนย์ข้อมูลที่ไร้ขอบเขต”) และการต้องอาศัยความพร้อมใช้งานไอทีที่ตามมา ทำให้เกิดความท้าทายเฉพาะด้านในการรักษาความยืดหยุ่นเอาไว้ บริษัทต่างๆ จึงต้องการความสามารถในการมองเห็นการทำงานของไซต์งานที่กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น เพราะโดยปกติจะไม่มีพนักงานประจำไซต์งานไว้คอยดูแลเรื่องการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานนั่นเอง

นอกจากนี้ เรายังได้ถกประเด็นถึงภัยคุกคามด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาท้าทายใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่ในการโจมตีขนาดใหญ่ที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกศูนย์ข้อมูลแบบเดิมมีความปลอดภัย โดยจากข้อเท็จจริง มีบริษัทเพิ่มขึ้นในอัตรา 40% ที่รายงานว่าบริษัทตนตกเป็นเหยื่อการโจมตีทางไซเบอร์

เรายังได้เคยคาดการณ์ไว้ว่า เรื่องความยั่งยืนและ 'Green IT' จะเข้าไปอยู่ในลิสต์ที่เป็นลำดับความสำคัญขององค์กรส่วนใหญ่มากขึ้น

หากแนวโน้มเหล่านี้เป็นจริง ก็จะเป็นปัจจัยบ่งชี้ที่สำคัญถึงมุมมองดั้งเดิมของเราในเรื่อง DCIM และต้องมีการกระตุ้นตลาดกันอีกครั้ง เพราะหลังจากผ่านไปหนึ่งปี เราต้องถามว่า เราคิดถูกหรือไม่จะมีการพัฒนาคลื่นลูกใหม่ของ DCIM หรือไม่?

 

ทฤษฎี DCIM ของเราจะยังอยู่ถึงปีถัดไปหรือไม่?

เพื่อให้ทฤษฎีของเราถูกต้อง โดยพื้นฐานแล้วเราต้องยืนยันว่า 4 ประเด็นต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง

1.       สภาพแวดล้อมไอทีแบบไฮบริดจะอยู่ไปอีกยาวนาน

2.       ความยืดหยุ่นจะยังคงเป็นความท้าทายที่มีความสำคัญสูงสุด

3.       ความกังวลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ จะผลักดันให้เกิดความต้องการเครื่องมือบริหารจัดการที่ดีขึ้น

4.       ความยั่งยืนจะกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับซีไอโอ

เราได้พูดคุยกับลูกค้า และดูสถิติมากมาย เช่น ที่ได้จากมาตรวัดความเสี่ยงของ Allianz และค้นคว้าบทความต่างๆ จากสื่อ แม้สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเพียงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย แต่ก็นับเป็นข้อพิสูจน์

ประการแรกคือ สภาพแวดล้อมไอทีแบบไฮบริดยังคงอยู่อีกยาว ในทุกการสนทนา ในบทความต่างๆ และในการประชุมทุกครั้งที่เคยเข้าร่วมในปีก่อนหน้าก็ตาม ยังไม่มีใครโต้แย้งว่าไอทีแบบไฮบริดกำลังจะหายไป แม้จะมีการถกประเด็นเกี่ยวกับสิ่งที่อาจดูคล้ายว่าจะเป็นแบบนั้น แต่ก็ยังไม่มีใครตั้งคำถามว่าในอนาคตอันไกลจะยังมีอยู่หรือไม่ จึงพอจะบอกได้ว่า การยืนยันในเรื่องนี้เป็นความจริง

ประการที่สอง ความท้าทายด้านความยืดหยุ่นจะยังคงเป็นความท้าทายอยู่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บางคนอาจคิดว่าตราบใดที่ยังมีการใช้งานไอทีอยู่ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาความท้าทายได้ แต่เราก็ยังไม่ได้แก้ไข เรายังคงได้ยินเกี่ยวกับการหยุดบินของ FAA เนื่องจากปัญหาด้านคอมพิวเตอร์ น้ำรั่วทำให้เกิดไฟไหม้แบตเตอรี่ โรงพยาบาลชะลอการผ่าตัดเนื่องจากดาต้าเซ็นเตอร์หยุดทำงาน และกระทั่งทำให้เกิดการขัดข้องในการส่งไฟนอลโปรเจ็คของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐวิชิตาก็ตาม โดยเรายังคงเผชิญกับความท้าทายในการทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีมีความยืดหยุ่น ทำให้เราประเมินว่าการยืนยันนี้เป็นความจริง

ประการที่สาม ความกังวลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จะผลักดันให้เกิดความต้องการเครื่องมือที่ดีขึ้น จากข้อมูลของ Allianz Risk Barometer เหตุการณ์ทางไซเบอร์นับเป็นอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดการหยุดชะงักทางธุรกิจที่บริษัทต่าง ๆ กลัวมากที่สุด โดยอยู่ที่ 45% ซึ่งสูงกว่าวิกฤตพลังงานที่ 35% และภัยพิบัติทางธรรมชาติ 31% เรายังทราบอีกว่าอุปกรณ์ OT ส่วนใหญ่ในตลาดไม่ได้ใช้เฟิร์มแวร์ล่าสุด เราต้องการเครื่องมือที่ดีกว่าเพื่อช่วยให้องค์กรด้านไอทีรักษาอุปกรณ์ของตนให้ปลอดภัย การยืนยันนี้เราประเมินว่าเป็นความจริง

ประการที่สี่ ความยั่งยืนจะกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรด้านไอที จากการยืนยันทั้งหมดของเรา เราเชื่อว่าเรื่องนี้ดูเป็นการคาดการณ์ที่สุด จากนั้น เราเห็นบทความมากมายทั้งใน Wall Street Journal นิตยสาร CIO และ InformationWeek รวมถึงสื่ออื่นๆ ที่เน้นว่า “เป็นสิ่งที่ CIO ต้องรู้” หรือ “การเผชิญหน้ากับข้อบังคับด้านความยั่งยืน” ซึ่งเราจัดให้การยืนยันเรื่องนี้ว่า "ยังไม่ใช่" แต่เป็นเรื่องที่ทวีความสำคัญเพิ่มขึ้น

 

การเปลี่ยนแปลงของตลาด สู่ศูนย์ข้อมูลไอทีแบบไฮบริด

ในวันครบรอบการเกิดขึ้นของคำว่า DCIM 3.0 และการประกาศว่าเรากำลังปรับปรุงการนำเสนอ EcoStruxure IT ให้ทันสมัยเพื่อให้ครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงของตลาดสู่ศูนย์ข้อมูล IT แบบไฮบริด ด้วยการเปลี่ยนแปลงหลายประการด้วยกัน

EcoStruxure IT กำลังแก้ปัญหาท้าทายของลูกค้า ด้วยโซลูชันทั้งแบบ on-premise และบนคลาวด์เพื่อตรวจสอบและบริหารจัดการ พร้อมการปรับปรุง IT Expert, Data Center Expert และ NetBotz และเรากำลังทำเช่นเดียวกันในส่วนของการวางแผนและการสร้างแบบจำลองด้วยการปรับปรุง IT Advisor นอกเหนือจากการนำเสนอเรื่องการวางระบบต่างๆ และโซลูชันที่กำหนดการใช้งานได้ตามความต้องการเฉพาะ

เรากำลังตอบสนองความต้องการของซีไอโอ ผู้ที่มีบทบาทด้านการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอทีในศูนย์ข้อมูลทั่วโลกที่ครอบคลุมทั้งภายในองค์กร โคโลเคชั่น คลาวด์ และเอดจ์ และเรากำลังตอบสนองความต้องการเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในโคโลเคชั่น ด้วยการตอบสนองความต้องการของผู้เช่าในเรื่องความปลอดภัยและความยั่งยืน โดยช่วยให้องค์กรเหล่านี้ดำเนินการได้มากกว่าเรื่องของการปฏิบัติตามข้อตกลง SLA เพื่อสร้างการมองเห็นได้แบบเรียลไทม์

หนึ่งปีผ่านไป เรารู้สึกตื่นเต้นกับทิศทางที่ DCIM กำลังมุ่งไปข้างหน้า พร้อมกับช่วยลูกค้าลดความซับซ้อนและความสับสนด้านสภาพแวดล้อมไอที โดยลงทุนในธุรกิจซอฟต์แวร์ DCIM รวมถึงลงทุนในช่องทาง พันธมิตร และลูกค้าของเรา การที่เรามุ่งมั่นพยายามเรื่องความยั่งยืน ทำให้เราสามารถนำโซลูชันมาช่วยลูกค้าและพันธมิตร ให้ใช้พลังงานได้เกิดประโยชน์สูงสุด

# # #


ที ลีสซิ่ง จับมือ ศรีประจันต์วัฒนยนต์ จัดอบรม "ขับขี่ปลอดภัย ร่วมใจลดมลพิษ" โรงเรียนสงวนหญิง จ.สุพรรณบุรี

  บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด  ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้ อรถจักรยานยนต์  ในเครือ เอ็ม บี เค  เล็งเห็นความสำคัญของการขับขี่ รถบนท้องถนนอย่างปลอ...