วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

น้ำแร่ธรรมชาติ มิเนเร่ เปิดตัวขวดรักษ์โลกที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล (rPET) รายแรกในตลาดน้ำดื่ม จับมือ 2 พันธมิตรใหญ่ ปิดวงจรขวดพลาสติก ให้คืนชีวิตกลับมาใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ใหม่ได้

 


กรุงเทพฯ 17 กรกฎาคม 2566 น้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ โดยหน่วยธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่ ประเทศไทย เปิดตัว “ขวดรักษ์โลก มิเนเร่ rPET” (Recycled Polyethylene Terephthalate) ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลเป็นรายแรกของตลาดน้ำดื่มในประเทศไทย และได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพ ความปลอดภัย และความสะอาดจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย และตัวเม็ดพลาสติกได้รับการรับรองจาก อย. สหรัฐฯ พร้อมชูแนวคิด BOTTLE MADE FROM BOTTLES คืนชีวิตให้ขวดพลาสติกกับน้ำแร่มิเนเร่” ด้วกระบวนการรีไซเคิลพลาสติกจากขวดที่ใช้แล้วมาผลิตเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ใหม่ได้อีกไม่จำกัดครั้ง ปิดเส้นทางขยะพลาสติกสู่หลุมฝังกลบ แหล่งน้ำและท้องทะเล รวมทั้งลดการปล่อยคาร์บอน ปูทางสู่เป้าหมายของมิเนเร่ในการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดให้ทำจากพลาสติกรีไซเคิล rPET ครบ 100% ภายในปี ค.ศ. 2025


นางสาวนาริฐา วิบูลยเสข ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เผยว่า “มิเนเร่เป็นแบรนด์น้ำแร่ธรรมชาติมาตรฐานระดับโลก ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนครบวงจร เราจึงได้เปิดตัวน้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ ในบรรจุภัณฑ์ขวดรักษ์โลก rPET ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลรายแรกในตลาดน้ำดื่มไทย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และตอบพันธกิจระดับโลกของเนสท์เล่ โดยชูคอนเซ็ปต์ “BOTTLE MADE FROM BOTTLES คืนชีวิตให้ขวดพลาสติกกับน้ำแร่มิเนเร่” ปิดวงจรขวดพลาสติกให้สามารถรีไซเคิลกลับมาเป็นบรรจุภัณฑ์ใหม่ได้ แทนการใช้พลาสติกผลิตใหม่ เพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รับคุณประโยชน์จากน้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่เหมือนเช่นเคย ในขวดใหม่ที่สะอาดใสไร้สิ่งเจือปน และใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยใน 1 ปี กลุ่มธุรกิจน้ำดื่ม เนสท์เล่ ประเทศไทย จะช่วยชุบชีวิตขวดพลาสติกหรือลดปริมาณขยะพลาสติกในประเทศได้มากกว่า 1,200 ตัน หรือเทียบเท่ากับน้ำหนักของวาฬ 7,000 ตัว”


ขวดรักษ์โลก มิเนเร่ rPET ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ได้มาตรฐานสากลเรื่องความสะอาดและปลอดภัย และเพื่อสร้างกระบวนการรีไซเคิลขวดหมุนเวียนแบบครบวงจร กลุ่มธุรกิจน้ำดื่ม เนสท์เล่ ประเทศไทย
ได้ร่วมมือกับ เซเว่น อีเลฟเว่น และ GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์มบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วอย่างครบวงจร  
ทำแคมเปญ BOTTLE MADE FROM BOTTLES คืนชีวิตให้ขวดพลาสติกกับน้ำแร่มิเนเร่” โดยตั้งถังขยะ
รีไซเคิลมิเนเร่เพื่อเก็บขวดพลาสติกที่ใช้แล้วจากผู้บริโภค ที่เซเว่นอีเลฟเว่น 50 สาขาในกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2566 เพื่อนำไปทำความสะอาด ย่อย หลอม และส่งต่อให้กับโรงงานรีไซเคิลเพื่อนำไปผลิต
เม็ดพลาสติกรีไซเคิล กลายเป็นขวดรักษ์โลกมิเนเร่ rPET ที่ปลอดภัยใสสะอาด ไร้สิ่งเจือปน

 

“การเปิดตัวขวดรักษ์โลก มิเนเร่ rPET จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเนสท์เล่ ประเทศไทย ในการออกแบบให้บรรจุภัณฑ์ของเราสามารถนำไปรีไซเคิลได้ และลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ลง 1 ใน 3 ภายในปี 2025ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเนสท์เล่ระดับโลกในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2050 อีกทั้งยังตอกย้ำถึงเป้าหมายของกลุ่มธุรกิจน้ำดื่ม เนสท์เล่ ประเทศไทย ในการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดของมิเนเร่ให้เป็นพลาสติกรีไซเคิล rPET 100% ภายในปี  2025 ทุกคนก็มีส่วนร่วมในการดูแลโลกให้ไปต่ออย่างยั่งยืนได้เพียงดื่มน้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ในขวดรักษ์โลก rPET แล้วทิ้งอย่างถูกต้อง เพื่อให้นำไปรีไซเคิลต่อได้นางสาวนาริฐากล่าวทิ้งท้าย

 

นอกจากนี้ มิเนเร่ยังได้สื่อสารแคมเปญผ่านแบรนด์พรีเซนเตอร์ “ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์” โปรโมตขวดรักษ์โลก มิเนเร่ rPET เพื่อตอกย้ำจุดยืนของน้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ในการส่งต่อสิ่งดี ๆ จากธรรมชาติให้กับผู้บริโภค ผ่านน้ำแร่ธรรมชาติ 100% ดูแลตัวเองให้เต็ม10 ด้วย 10 แร่ธาตุธรรมชาติ ซึ่งมีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากลจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์


                #มิเนเร่ขวดรักษ์โลก #คืนชีวิตให้ขวดพลาสติกกับมิเนเร่ #MinereBottleMadeFromBottles


King the Land ฟีเว่อร์! ความสำเร็จของกรมการท่องเที่ยวกับภารกิจส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย

 


จากกระแสความนิยมซีรีส์เกาหลี King the Land ตอนที่ 10 ที่ออนแอร์ไปเมื่อคืนวันอาทิตย์ (16 กรกฎาคม 2566) ที่ผ่านมา
ได้นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งสอดแทรกภาษาไทย การรับประทานอาหาร Street Food การท่องเที่ยวยามค่ำคืน ทั้งการล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา การนั่งรถตุ๊กตุ๊กชมเมือง หรือการรับประทานอาหารค่ำสุดหรูบนยอดตึก ล้วนสร้างความประทับใจ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมซีรีส์ ตามรอยสถานที่ถ่ายทำ
ในอนาคต โดยภาพยนตร์ดังกล่าว ได้รับการอนุญาตจากกรมการท่องเที่ยวให้ถ่ายทำซีรีส์ในประเทศไทย ในระหว่างวันที่ 1 - 15 กุมภาพันธ์ 2566 ด้วยเงินลงทุนกว่า 18 ล้านบาท

 

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กล่าวว่า “กรมการท่องเที่ยว (DOT) โดยกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ (Thailand Film Office) ในฐานะหน่วยงานภาครัฐเพียงแห่งเดียว ที่มีภารกิจในการพิจารณาอนุญาต ส่งเสริมการถ่ายทำ สนับสนุนบุคลากรทีมงานชาวไทย และอำนวยความสะดวกให้แก่กองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ได้ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการถ่ายทำของคณะถ่ายทำต่างประเทศ ทั้งการสนับสนุนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย (Incentive Measures) การลดขั้นตอนการขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ การประชาสัมพันธ์ในงานเทศกาลภาพยนตร์ในต่างประเทศ การแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวก
ให้กับกองถ่ายต่างประเทศ เป็นต้น อันจะส่งผลต่อการสร้างรายได้ให้กับประเทศ สร้างงานให้กับบุคลากรชาวไทย กระจายไปสู่ชุมชนท้องถิ่นที่เป็นสถานที่ถ่ายทำ รวมทั้งภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งในภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์และ
ภาคการท่องเที่ยว”

 

มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย (Incentive Measures) ของประเทศไทยเป็นรูปแบบการคืนเงิน (Cash Rebate) จำนวนร้อยละ 15 - 20 ของเงินลงทุนในประเทศไทย โดยคณะถ่ายทำที่มีเงินลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 50 ล้านบาท จะได้รับเงินคืนจำนวนร้อยละ 15 และสามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมไม่เกินร้อยละ 5 อาทิ

-          ร้อยละ 5 หากภาพยนตร์ส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งเสริม Soft Power และภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย

-          ร้อยละ 3 หากมีการจ้างบุคลากรหลักของไทย (Key Personnel) เป็นคณะทำงานในกองถ่ายทำภาพยนตร์ อาทิ เช่น ผู้กำกับ นักแสดงหลัก เป็นต้น

-          ร้อยละ 3 หากมีการถ่ายทำในจังหวัดเมืองรอง จำนวน 55 จังหวัด ตามนโยบายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

-          ร้อยละ 2 หากมีค่าใช้จ่ายในกระบวนการหลังการถ่ายทำ (Post - Production)

-          ร้อยละ 5 หากเริ่มถ่ายทำในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31ธันวาคม พ.ศ. 2566 และมีค่าใช้จ่ายในประเทศไทยตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป

 


 

โดยกองถ่ายต่างประเทศจะได้รับเงินคืนสูงสุด จำนวน 150 ล้านบาทต่อเรื่อง ซึ่งที่ผ่านมามีภาพยนตร์ต่างประเทศ
เข้าร่วมมาตรการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 - 2566 จำนวนมากกว่า 50 เรื่อง สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยมากกว่า 20,000 ล้านบาท

 

กรมการท่องเที่ยว หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ของคณะถ่ายทำต่างประเทศ จะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี เผยแพร่วัฒนธรรม และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักท่องเที่ยวได้ตามรอยการถ่ายทำตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งสามารถสร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ
ในประเทศไทย ผ่านทาง 
Facebook: TFO Thailand Film Office

แอ็กซอลตา มุ่งมั่นยกระดับอุตสาหกรรมรถยนต์ต่อเนื่อง ให้ความรู้ผ่านการสัมมนา เพิ่มมูลค่าสีรถยนต์ด้วยนวัตกรรมใหม่

 


กรุงเทพฯ, 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2566  ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายที่สร้างความตระหนักให้โลกสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้พลังงานทางเลือกที่สะอาดกว่า อุตสาหกรรมพลังงานรวมถึงสังคมโลกได้ตระหนักแล้วว่า มนุษย์ต้องเดินหน้าสู่การใช้พลังงานทางเลือกที่สะอาดกว่า เพื่อให้สอดรับกับอุปสงค์การใช้พลังงาน รวมถึงลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา กว่า 50 ประเทศและเขตเศรษฐกิจได้ประกาศเจตนารมณ์ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมถึงก๊าซเรือนกระจก ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในประชาคมอาเซียน ที่วางยุทธศาสตร์ชาติด้วยการประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 พร้อมขับเคลื่อนประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Emission) ภายในหรือก่อนปี พ.ศ. 2608 ส่งผลให้การติดตั้งพลังงานโซลาร์สำหรับบ้านและที่อยู่อาศัยได้รับความนิยมและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการใช้ชีวิตแบบใหม่ของคนไทย และพลังงานโซลาร์ซึ่งถือเป็นพลังงานหมุนเวียนที่มีราคาถูกกว่าพลังงานชนิดอื่น ๆ กลายเป็นพลังงานที่ได้รับความนิยมและมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการปกป้องมวลมนุษยชาติ ระบบนิเวศรวมไปถึงสังคมส่วนรวม

เพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมายดังกล่าว หัวเว่ย ประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมพลังงานดิจิทัลอย่างยั่งยืนผ่านโซลูชันหลังคาโซลาร์ โดยร่วมกับลีสซิ่งไอซีบีซี (ไทย) เปิดตัวโครงการ '0 Investment, Let the Sun Pay for You' ส่งเสริมการติดตั้งหลังคาบ้านโซลาร์ในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น และสนับสนุนนวัตกรรมหลังคาโซลาร์สู่ครัวเรือนไทย

เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง นายเสี่ยวปอ หลี่ ประธานกรรมการบริษัท ลีสซิ่งไอซีบีซี  (ไทย) จำกัด ยังเน้นย้ำถึงความร่วมมือกับหัวเว่ยเพื่อเร่งการใช้พลังงานสะอาด เนื่องจากแนวโน้มของตลาดบ่งชี้ว่าหลายครัวเรือนจำนวนมากในประเทศไทยหันมาใช้หลังคาโซลาร์มากขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า

ดังนั้น เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการโอบรับอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน หัวเว่ยจึงทุ่มเทให้กับการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์กำลัง พร้อมทั้งขับเคลื่อนการปฏิวัติด้านพลังงาน โดยนายเดวิด หลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ย้ำถึงโครงการความร่วมมือกับลีสซิ่งไอซีบีซี (ไทยในครั้งนี้ว่า มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงความเข้าใจที่ผิดว่าโซลูชันหลังคาโซลาร์มีต้นทุนสูง และยังเป็นการเบิกทางให้กับอนาคตของประเทศไทย สู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว เจ้าของบ้านที่จะติดตั้งโซลูชันหลังคาโซลาร์ในประเทศไทยจะได้รับข้อเสนอพิเศษและข้อเสนอทางการเงินหลากหลายรูปแบบจากโครงการ ‘0 Investment, Let the Sun Pay for You' โดยมีเงินดาวน์ขั้นต่ำอยู่ที่ 16,900 บาท มีระยะเวลาการชำระสูงสุดถึง 7 ปี หลังการติดตั้งหลังคาโซลาร์ นอกจากจะช่วยประหยัดเงินค่าไฟ ยังสามารถนำยอดส่วนต่างจากค่าใช้จ่ายปกติ ไปชำระค่างวดรายเดือนกับธนาคารแทนได้ ซึ่งหมายความว่าจะได้รับสิทธิ์การเป็นเจ้าของระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ภายในเวลาประมาณ 5 ปี โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงและนำพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือและรายละเอียดโปรโมชันพิเศษต่าง ๆ ได้ที่https://solar.huawei.com/th/0investmentcampaign

หัวเว่ย ผนึกกำลังลีสซิ่งไอซีบีซี (ไทย) สนับสนุนทางการเงิน ให้คนไทยได้ติดตั้งโซลูชันหลังคาโซลาร์ตามบ้านสะดวกยิ่งขึ้น

 


กรุงเทพฯ, 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2566  ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายที่สร้างความตระหนักให้โลกสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้พลังงานทางเลือกที่สะอาดกว่า อุตสาหกรรมพลังงานรวมถึงสังคมโลกได้ตระหนักแล้วว่า มนุษย์ต้องเดินหน้าสู่การใช้พลังงานทางเลือกที่สะอาดกว่า เพื่อให้สอดรับกับอุปสงค์การใช้พลังงาน รวมถึงลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา กว่า 50 ประเทศและเขตเศรษฐกิจได้ประกาศเจตนารมณ์ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมถึงก๊าซเรือนกระจก ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในประชาคมอาเซียน ที่วางยุทธศาสตร์ชาติด้วยการประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 พร้อมขับเคลื่อนประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Emission) ภายในหรือก่อนปี พ.ศ. 2608 ส่งผลให้การติดตั้งพลังงานโซลาร์สำหรับบ้านและที่อยู่อาศัยได้รับความนิยมและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการใช้ชีวิตแบบใหม่ของคนไทย และพลังงานโซลาร์ซึ่งถือเป็นพลังงานหมุนเวียนที่มีราคาถูกกว่าพลังงานชนิดอื่น ๆ กลายเป็นพลังงานที่ได้รับความนิยมและมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการปกป้องมวลมนุษยชาติ ระบบนิเวศรวมไปถึงสังคมส่วนรวม

เพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมายดังกล่าว หัวเว่ย ประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมพลังงานดิจิทัลอย่างยั่งยืนผ่านโซลูชันหลังคาโซลาร์ โดยร่วมกับลีสซิ่งไอซีบีซี (ไทย) เปิดตัวโครงการ '0 Investment, Let the Sun Pay for You' ส่งเสริมการติดตั้งหลังคาบ้านโซลาร์ในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น และสนับสนุนนวัตกรรมหลังคาโซลาร์สู่ครัวเรือนไทย

เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง นายเสี่ยวปอ หลี่ ประธานกรรมการบริษัท ลีสซิ่งไอซีบีซี  (ไทย) จำกัด ยังเน้นย้ำถึงความร่วมมือกับหัวเว่ยเพื่อเร่งการใช้พลังงานสะอาด เนื่องจากแนวโน้มของตลาดบ่งชี้ว่าหลายครัวเรือนจำนวนมากในประเทศไทยหันมาใช้หลังคาโซลาร์มากขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า

ดังนั้น เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการโอบรับอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน หัวเว่ยจึงทุ่มเทให้กับการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์กำลัง พร้อมทั้งขับเคลื่อนการปฏิวัติด้านพลังงาน โดยนายเดวิด หลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ย้ำถึงโครงการความร่วมมือกับลีสซิ่งไอซีบีซี (ไทยในครั้งนี้ว่า มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงความเข้าใจที่ผิดว่าโซลูชันหลังคาโซลาร์มีต้นทุนสูง และยังเป็นการเบิกทางให้กับอนาคตของประเทศไทย สู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว เจ้าของบ้านที่จะติดตั้งโซลูชันหลังคาโซลาร์ในประเทศไทยจะได้รับข้อเสนอพิเศษและข้อเสนอทางการเงินหลากหลายรูปแบบจากโครงการ ‘0 Investment, Let the Sun Pay for You' โดยมีเงินดาวน์ขั้นต่ำอยู่ที่ 16,900 บาท มีระยะเวลาการชำระสูงสุดถึง 7 ปี หลังการติดตั้งหลังคาโซลาร์ นอกจากจะช่วยประหยัดเงินค่าไฟ ยังสามารถนำยอดส่วนต่างจากค่าใช้จ่ายปกติ ไปชำระค่างวดรายเดือนกับธนาคารแทนได้ ซึ่งหมายความว่าจะได้รับสิทธิ์การเป็นเจ้าของระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ภายในเวลาประมาณ 5 ปี โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงและนำพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือและรายละเอียดโปรโมชันพิเศษต่าง ๆ ได้ที่https://solar.huawei.com/th/0investmentcampaign

ลดสะบัดซัดราคา! มหกรรมลดราคาสินค้ายานยนต์ บี-ควิก เอ็กซ์โป 2023 ยกขบวนสินค้ามาลดราคาสูงสุด 50% ที่ บี-ควิก ทุกสาขาทั่วไทย 1-6 ส.ค. นี้

 


กรุงเทพฯ – 27 กรกฎาคม 2566: จากการตอบรับที่ดีเยี่ยมของงานบี-ควิก เอ็กซ์โป ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ในปีนี้ บี-ควิก ผู้นำอันดับ 1 ของตลาดศูนย์บริการรถยนต์แบบครบวงจร พร้อมจัดงาน บี-ควิก เอ็กซ์โป 2023 แบบยิ่งใหญ่กว่าเดิม ที่ บี-ควิก ทุกสาขาทั่วไทย กับมหกรรมลดราคาสินค้าสำหรับคนรักรถที่คุ้มที่สุดแห่งปี พร้อมโปรโมชันสุดคุ้มตลอด 6 วัน สินค้าลดสูงสุด 50% ตั้งแต่วันที่ 1 – 6 สิงหาคม 2566 ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม และพิเศษยิ่งกว่ากับกิจกรรม Big Match Live ตลอด 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 - 5  สิงหาคม 2566 กับ 5 คู่แขกรับเชิญสุดพิเศษ ได้แก่ พรีเซนเตอร์ คุณมิกค์ ทองระย้า, คุณบิวกิ้น พุฒิพงศ์, คุณพีพี กฤษฏ์ และแขกรับเชิญอีกมากมาย ที่จะมาพูดคุยกัน บอกเล่าโปรโมชันเด็ดๆ ตลอดช่วงงาน บี-ควิก เอ็กซ์โป สุดยิ่งใหญ่ในปีนี้ พบกันเวลาเที่ยงตรงทุกวันผ่าน Facebook B-Quik เต็มที่เพื่อรถ เต็มร้อยเพื่อคุณ


image.png


คุณบุศรารัตน์ อัสสรัตนกุล ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท บี-ควิก จำกัด กล่าวว่า “ด้วยผลตอบรับอันดีเยี่ยมจากงาน บี-ควิก เอ็กซ์โป ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา และเพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาด Fast Fit ทาง บี-ควิก จึงได้ต่อยอดความสำเร็จอีกครั้งในปีนี้ กับงาน บี-ควิก เอ็กซ์โป 2023 ที่ต้องการคืนกำไรให้กับลูกค้า โดยขยายระยะเวลาเป็น 6 วัน ตั้งแต่ 1 - 6 สิงหาคม 2566 ทุกสาขาทั่วประเทศ กับสุดยอดโปรโมชันที่จัดขึ้นเพียงปีละครั้ง อาทิ ยางรถยนต์ยี่ห้อชั้นนำลดสูงสุด 50% (เฉพาะรุ่นและยี่ห้อที่กำหนด) ชุดน้ำมันเครื่องเกรด 10,000 กม. พร้อมไส้กรอง ราคาเริ่มต้นเพียงชุดละ 390 บาท รวมถึงส่วนลดสินค้าอื่นๆ ลดสูงสุดถึง 50% พร้อมผ่อนชำระได้ 0% นาน 10 เดือน และสามารถสะสมยอดใช้จ่ายภายในงานเพื่อแลกของพรีเมียมอีกมากมายผ่านระบบสมาชิก B-Member โดยสำหรับสมาชิกที่แนะนำเพื่อนมาสมัครเป็นสมาชิก บี-เมมเบอร์ ตลอดเดือนสิงหาคมนี้ จะได้รับคะแนนสะสมเพิ่มด้วย โดยโปรโมชันนี้จะจัดขึ้นที่ บี-ควิก ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือลูกค้าสามารถช็อปออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมงผ่านทางเว็บไซต์ www.B-Quik.com โดยยังได้รับส่วนลด และสิทธิพิเศษเหมือนไปที่ศูนย์บริการฯ เช่นกัน และบี-ควิก พร้อมให้บริการตรวจเช็กรถฟรี 30 รายการ โดยดูแลรถยนต์ของลูกค้าทุกท่านภายใต้มาตรฐานเดียว โดยพนักงานช่างมืออาชีพกว่า 3,000 คน ในศูนย์บริการรถยนต์ บี-ควิก กว่า 200 สาขาทั่วประเทศไทย”


image.png

เฮงก์ คิกส์ และบุศรารัตน์ อัสสรัตนกุล

image.png
image.png image.png
image.png image.png

คนรักรถตัวจริง ต้องห้ามพลาด! พบกันวันที่ 1 - 6 สิงหาคม 2566 ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม ที่ บี-ควิก ทุกสาขาทั่วไทย เพียง 6 วันเท่านั้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ B-Quik Contact Center โทร. 1153

#BQuikExpo2023 #ครบทุกบริการเรื่องรถ ต้องที่ #BQuik #ที่1เรื่องรถ #เต็มที่เพื่อรถเต็มร้อยเพื่อคุ


A group of men posing for a photo

Description automatically generated

A person holding a megaphone and a large display of oil

Description automatically generated


หมายเหตุถึงบรรณาธิการ

บี-ควิก เป็นศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร ที่ดูแลรถยนต์ในประเทศไทย มานานกว่า 25 ปี มากกว่า 200 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีอีก 2 สาขา ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา บี-ควิก มีความมุ่งมั่นที่จะให้บริการดูแลรถทุกคัน ด้วยประสบการณ์ ทักษะ และความเป็นมืออาชีพ ของพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี จาก B-Quik Academy และมีการพัฒนาการบริการให้สะดวกสบาย รวดเร็ว และทันสมัยมากยิ่งขึ้น ให้เหมาะกับยุคดิจิทัลนี้  ในราคาสบายกระเป๋า และมั่นใจในคุณภาพที่ได้มาตรฐานเดียวกันทุกสาขา และที่สำคัญ บี-ควิก ได้พัฒนาระบบฐานข้อมูลลูกค้าที่ออนไลน์เชื่อมถึงกันทั่วประเทศ ทำให้รถทุกคันมีประวัติการดูแลอย่างต่อเนื่อง และสามารถตรวจสอบได้ไม่ว่าจะเข้ารับบริการที่ บี-ควิก สาขาใดก็ตาม ติดตามข้อมูลข่าวสาร โปรโมชัน ของ บี-ควิก ได้เพียงกดโทร. ที่เบอร์ 1153 หรือที่ช่องทางดิจิทัลดังต่อไปนี้

Line Official Account @B-Quik1153

Facebook B-Quik เต็มที่เพื่อรถ เต็มร้อยเพื่อคุณ https://www.facebook.com/BQUIK 

Instagram @BQuikOfficial https://www.instagram.com/bquikofficial 

Youtube : B-Quik เต็มที่เพื่อรถ เต็มร้อยเพื่อคุณ https://www.youtube.com/MrBQuik 

เตรียมพบกับปรากฏการณ์ความบันเทิง “City Line Music Station Live No. 3” ในสถานีรถไฟ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สุวรรณภูมิ ห้ามพลาดไฮไลท์เด็ดกับการแสดงดนตรีสดครั้งแรกในขบวนรถไฟ วันที่ 5 ส.ค. นี้

 


กรุงเทพมหานครฯ - บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ผู้ร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และปัจจุบันเป็นผู้ให้การสนับสนุนการเดินรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ภายใต้การกำกับดูแลของ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท จำกัด ร่วมกับวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล กำหนดจัดงานดนตรี “City Line Music Station Live No. 3” ในสถานีรถไฟฟ้า แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สุวรรณภูมิ เพื่อสร้างสีสันและเติมความสุขในการเดินทางให้กับผู้โดยสารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ นักท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป ได้เพลิดเพลินไปกับวงดนตรี แบบ สไตล์ ในวันที่ สิงหาคม 2565 โดยมีรายละเอียดการแสดงดนตรีดังนี้

 

  1. เวลา 15.00 – 16.00 น. พบกับการบรรเลงเพลงแจ๊ส จากวง Kim Trio

  2. เวลา 16.15 – 17.15 น. พบกับดนตรีสไตล์คอนเทมโพรารี่จากวง RUUB KAAK

 

พลาดไม่ได้กับไฮไลท์เด็ดของงาน ณ เวลา 15:00-16:00 น. พบกับ การแสดงดนตรีสดครั้งแรกในขบวนรถไฟ จากวง Plan Best ที่นักศึกษาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เตรียมเครื่องดนตรี ไวโอลิน และ เชลโล เพื่อขับกล่อมสร้างสีสันและความเพลิดเพลินให้แก่ผู้โดยสารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ที่ออกเดินทางจาก สถานีสุวรรณภูมิไปยังสถานีพญาไท และจากสถานีพญาไทยกลับมายังสถานีสุวรรณภูมิ ผู้ที่สนใจสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างปรากฏการณ์ความบันเทิงรูปแบบใหม่ในการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า และ เติมความสดใสให้แก่สถานีแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ได้ภายในวันและเวลาดังกล่าว

ติดตามข่าวสาร และ กิจกรรมดี ๆ จากแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ได้ที่ เฟซบุ๊ค @AirportRailLink  #CityLineMusicStations #งานดนตรีติดTrain

ชีวาทัย เข้าขอบคุณลูกค้าเจ้าของไอเดียโฆษณา "อยากมีบ้าน ต้องได้บ้าน" เพื่อช่วยคนไทยวางแผนมีบ้าน

 


นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทชีวาทัย จำกัด (มหาชน) มอบของที่ระลึกเพื่อเป็นการขอบคุณให้แก่คุณธันยมัย  ศรีมาศ ลูกบ้านโครงการชีวาโฮม กรุงเทพ-ปทุม และ คุณอาณัฐ ทองใบ ลูกบ้านโครงการชีวาโฮม รังสิต-ปทุม ที่ให้ความไว้วางใจเลือกซื้อบ้านทาวน์โฮมจากชีวาทัย และให้เกียรติร่วมแบ่งปันความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เยี่ยมชมโครงการ จนถึงตัดสินใจเป็นลูกค้าของชีวาทัย จนเป็นไอเดียโฆษณาของชีวาทัยที่ทำให้คนที่อยากมีบ้าน แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง เข้ามาปรึกษาและสร้างปรากฏการณ์ยอดขายโครงการบ้านทาวน์โฮมแก่ชีวาทัย

 

คุณบุญ ชุน เกียรติ กล่าวว่า ลูกค้าหลายๆ คนที่เข้ามาชมโครงการบ้านของเราอยากมีบ้านมากๆ แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง อาจจะทำให้ไม่สามารถจะซื้อบ้านได้ในตอนนั้น ซึ่งเราเข้าใจตรงจุดนี้ ชีวาทัยจึงพยายามผลักดัน แคมเปญ "อยากมีบ้านต้องได้บ้าน " อยากซื้อต้องได้ซื้อ เพราะเราเชื่อมั่นมาเสมอว่าเราคือพาร์ทเนอร์ที่ดีของลูกค้า ที่จะไม่ละเลยปัญหาของลูกค้า และดูแลตั้งแต่วันแรกที่ลูกค้าเข้ามาที่โครงการของเราจนมาเป็นลูกบ้าน เป็นครอบครัวของชีวาทัย ตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนการเงิน ยื่นสินเชื่อ เตรียมเอกสาร ปรึกษาสถาบันการเงินด้วยเจ้าหน้าที่มืออาชีพที่ผ่านการฝึกอบรมของเรา เมื่อเข้าอยู่อาศัยก็จะพบบริการหลังการขายที่ใส่ใจจากชีวาแคร์ ยังมีกิจกรรมและสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้ามากมาย จากชีวาทัย โซไซตี้ ทั้งหมดนี้เพื่อให้ทุกคนที่มาอยู่ในครอบครัวของชีวาทัย มีความสุขและไม่มีความกังวลที่จะมีบ้านอีกต่อไป

 

สามารถชมรายละเอียดโครงการของชีวาทัยได้ที่ www.chewathai.com รวมถึง social platform @chewathiplc ทุกช่องทาง หรือโทร. 1260


ท็อปส์ จัดงาน “Taste of France” ร่วมเฉลิมฉลองสัปดาห์แห่งวันชาติฝรั่งเศส ชวนสัมผัสสุนทรียรสจากวัตถุดิบพรีเมียมจากฝรั่งเศส พร้อมอร่อยกับเมนูต้นตำหรับสไตล์ปารีเซียง

 


กรุงเทพฯ – ฯพณฯ ตีแยรี มาตู เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย พร้อมด้วยภริยา นางเซซีล มาตู เป็นประธานเปิดงาน “Taste of France” เทศกาลอาหารฝรั่งเศสในโอกาสเฉลิมฉลองสัปดาห์แห่งวันชาติฝรั่งเศส คัดสรรวัตถุดิบพรีเมียมจากฝรั่งเศสมากมาย และอร่อยกับเมนูต้นตำหรับสไตล์ปารีเซียง ตั้งแต่วันนี้-25 กรกฎาคม 2566 ที่ Tops, Tops Food Hall และ Tops Fine Food โดยมี นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด นางสุพัตรา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักนโยบายองค์กรสัมพันธ์และภาพลักษณ์ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และ นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ให้การต้อนรับ พร้อมด้วย นายธนวัตร จิรจริยาเวช รองกรรมการผู้จัดการ นางสุจิตา เพ็งอุ่น รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ร่วมงาน ที่ ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

 

#Tops #EveryDayDISCOVERY  

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ เผยวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน พร้อมชูโครงการต้นแบบ “วัน แบงค็อก” ในงาน Bloomberg Sustainable Business Summit ณ ประเทศสิงคโปร์

 


กรุงเทพฯ – 27 กรกฎาคม 2466 นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด (ที่ จากซ้ายร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในงานประชุมสุดยอดผู้นำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน Bloomberg Sustainable Business Summit ภายใต้หัวข้อ ‘Leading with Urgency’ ณ ประเทศสิงคโปร์ เผยถึง วัน แบงค็อก โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ครบครันใจกลางกรุงเทพฯ กำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนพร้อมแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม นับตั้งแต่การออกแบบมาสเตอร์แพลนของโครงการฯ จนไปถึงขั้นตอนของการดำเนินงาน โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการ สนับสนุนการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมจับมือพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนร่วมกันในการพัฒนา ระบบการบริหารจัดการขยะจากการก่อสร้าง ระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ (District Cooling Systems) EV โซลูชัน และอื่นๆ

วัน แบงค็อก สร้างมาตรฐานใหม่ด้านการออกแบบที่มีคุณภาพ การยกระดับความยั่งยืน (Sustainability) และการใช้ชีวิตในเมืองอัจฉริยะ (Smart City Living) มุ่งสู่การรับรองโดยมาตรฐาน LEED - Neighbourhood Development ระดับ Platinum แห่งแรกในประเทศไทย และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคาร

มอบปุ๋ยบำรุงพืชจากการคัดแยกขยะเศษอาหารภายใต้โครงการ “SOOKSIAM สุขรักษ์โลก ปี 2”

 


นายบัญชา ฉันทดิลก กรรมการผู้จัดการโครงการสุขสยาม พร้อมด้วยพันธมิตร มอบปุ๋ยบำรุงพืชจากการคัดแยกขยะเศษอาหารภายใต้โครงการ SOOKSIAM สุขรักษ์โลก ปี 2” จำนวน 500 กิโลกรัม เพื่อส่งมอบให้กับชุมชนเกษตรกรในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) โดยมี นายปวัตร์  นวะมะรัตน เลขาธิการ กปร. นางสุพร  ตรีนรินทร์ รองเลขาธิการ กปร. นางพิชญดา รองเลขาธิการ กปร. นายศุภรัชต์   อินทราวุธ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนา ร่วมรับมอบ ณ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) วันก่อน

เตรียมจัดเต็มคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกที่อิมแพ็ค อารีน่า “MITSUBISHI ELECTRIC Mr.SLIM Presents NONT EP.02 SO SERIOUS จริงๆจังๆ Concert”

 



สิ้นสุดการรอคอย หลังจากประกาศลั่นโซเชียลกับภาพโปรโมทสุดปังเมื่อไม่นานมานี้ กลับมาสร้างปรากฏการณ์ความพิเศษเหนือคำบรรยาย ในคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่ MITSUBISHI ELECTRIC Mr.SLIM Presents NONT EP.02 SO SERIOUS จริงๆจังๆ Concert”  ที่คราวนี้กับคอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบที่จริงจัง จัดใหญ่ จัดเต็ม และ SO SERIOUS กว่าครั้งไหนๆ แน่นอนว่าโชว์ครั้งนี้ แฟนเพลงทุกคนได้ตื่นตา ตื่นใจไปกับโชว์ในรูปแบบจริงๆจังๆที่ไร้ขีดจำกัด พร้อมตื่นตาตื่นใจไปกับโปรดักชั่นเต็มรูปแบบ ทั้งแสง สี เสียง ตระการตา ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน บอกได้เลยว่ามีเซอร์ไพรส์สุดเอ็กซ์คลูซีฟอีกมากมาย ในคอนเสิร์ตครั้งนี้โดยเฉพาะ ถ้าไม่อยากพลาดเตรียมตัวให้พร้อมแล้วไปร่วมสร้างความสุขสนุกสนานกันแบบจริงจังได้เลย

 

 พลาดไม่ได้! เตรียมตัวให้พร้อม วอร์มนิ้วให้ดี จัดเต็ม 2 รอบการแสดง วันเสาร์ 30 กันยายน 2566 และ วันอาทิตย์ 1 ตุลาคม 2566 Impact Arena เมืองทองธานี บัตรราคา 5,000 / 4,500 / 4,000 / 3,500 / 3,000 / 2,500 / 2,000 / 1,800 บาท จำหน่ายบัตรวันที่ 30 กรกฎาคม 2566 | The Concert Application

 

#NONTEP02จริงๆจังๆConcert

#NONTTANONT

#LOVEiSENTERTAINMENT

LOVEiS เปิดบ้านต้อนรับศิลปินน้องใหม่ “PUIMEKSTER” “ไม่อยากคิดถึงเธออีกแล้ว” ซิงเกิ้ลใหม่สำหรับคนอยากมูฟออน

 


พัฒนาตนเองมาอย่างต่อเนื่องในทุกด้านเลยจริงๆ สำหรับนักแสดงสาวปุยเมฆ (นภสร วีระยุทธวิไล) ที่หลายคนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาในฐานะ นักแสดงซีรี่ย์ชื่อดังอย่าง U-Prince, Sotus S The Series, My Dear Loser รักไม่เอาถ่าน ฯลฯ อีกทั้งยังเคยเล่น MV ต่างๆ และมีผลงานเพลงมาบ้างแล้ว มาในวันนี้ปุยเมฆกลับมาในฐานะศิลปินเดี่ยว PUIMEKSTER” ภายใต้สังกัด LOVEiS ENTERTAINMENT ที่ปรับลุคใหม่เป็นสาวลุย สไตล์ Boyish สะพายกีต้าร์ พร้อมเดบิ้วต์ด้วยซิงเกิ้ลแรกกัเพลง “ไม่อยากคิดถึงเธออีกแล้ว (Pause)”  

“ไม่อยากคิดถึงเธออีกแล้ว” (Pause) เพลงนี้เป็นเพลงสำหรับคนที่ไม่อยากมูฟออนเป็นวงกลมอีกแล้ว พยายามเป็นคนเข้มแข็งและไม่อ่อนไหว และอยากตัดเขาออกไปจากใจให้ได้ เพราะเหนื่อยกับความรู้สึกแบบวนลูปที่ต้องมารีเซ็ตความรู้สึกตัวเองใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงแม้ไม่อยากคิดถึงเธออีกแล้ว แต่ในใจลึกๆ ก็ยังคงคิดถึงทุกวันเหมือนเดิม ซึ่งเพลงนี้ก็ได้ วง Slapkiss มารับหน้าที่เขียนเนื้อร้องทำนองเพลงซึ่งได้ทำเพลงออกมาในแนวดนตรีป๊อปที่มีเมโลดี้ที่ฟังง่าย เนื้อหาพูดถึงคนที่อยากมูฟออนจากวังวนความรัก ซึ่งถ่ายทอดความเจ็บปวดของเพลงนี้ผ่านเสียงร้องและเนื้อหาเพลงได้ลึกซึ้งโดนใจ ที่มากไปด้วยเสน่ห์บวกความเท่เฉพาะตัวของ PUIMEKSTER”

ติดตามชมมิวสิควิดีโอเพลง “ไม่อยากคิดถึงเธออีกแล้ว” (Pause) ได้ตั้งแต่วันนี้ที่ Youtube/LOVEiS และติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆได้ทาง Facebook: PuimekSter , Instagram : puimekster, Twitter : PuimekSter, TikTok : puimek.ster, Facebook : LOVEiS /Twitter/Instagram : @LOVEiS_ent 


บีโอไออนุมัติ Chery ค่ายรถยนต์รายใหญ่จีน ตั้งฐานผลิต EV ในไทย

            บีโอไอ เผยผลสำเร็จการดึง Chery บริษัทรถยนต์ชั้นนำระดับโลกจากประเทศจีน เข้ามาลงทุนในไทยเป็นรายล่าสุด หลังจากหารือกันกว่า 2 ปี โดย...