วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2567

ภาคีเครือข่ายด้านโรคหายากตอกย้ำการส่งเสริมผู้ป่วยและสนับสนุนนโยบายเพื่อความเท่าเทียมการรักษา ในงานประชุม Southeast Asia Rare Disease Summit ครั้งที่ 2

 


แม้ว่า โรคหายากหรือ Rare Disease เป็นกลุ่มโรคที่มีความซับซ้อน อาจไม่สามารถวินิจฉัยได้ในครั้งแรกๆ ที่มาพบแพทย์ จึงทำให้สถิติการวินิจฉัยโรคต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับโรคทั่วไป อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีผู้ป่วยจำนวนนับล้านคนทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่คาดว่ามีผู้ป่วยประมาณ 45 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 9 ของประชากรทั้งหมดในภูมิภาค1 เจ็บป่วยเป็นโรคหายากนี้ สำหรับประเทศไทยคาดว่าจะมีผู้ป่วยโรคหายากประมาณ 3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 5 ของประชากรทั้งประเทศ แต่ขณะเดียวกัน มีเพียง 20,000 คนเท่านั้น ที่ได้รับการรักษาสามารถเข้าถึงการรักษา2 โดยในปีนี้ แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมเวชพันธุศาสตร์และจีโนมิกส์ทางการแพทย์ มูลนิธิเพื่อผู้ป่วยโรคหายาก ร่วมด้วย บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำทางด้านชีวเภสัชภัณฑ์ระดับโลก ได้จัดงาน “การประชุมโรคหายากระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 2” (The Second Southeast Asia Rare Disease Summit)ภายใต้แนวคิด “Amplifying Patient Voices for Sustainable Change” เพื่อหารือถึงการให้ความสำคัญทั้งด้านนโยบาย การวางแผนดูแล และการเข้าถึงการรักษาที่ถูกต้องและยั่งยืนโดยเน้น หลักการ ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง  การประชุมครั้งนี้ ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจากทั่วภูมิภาค นักเศรษฐศาสตร์ด้านสุขภาพ กลุ่มผู้สนับสนุนผู้ป่วย และผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วย มาร่วมพูดคุยถึงการจัดการโรคหายากในด้านต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้รับการดูแล ความเสมอภาคทางด้านการเข้าถึงการรักษา และการเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยผู้ป่วย นอกจากนี้ งานประชุมในครั้งนี้ยังช่วยสนับสนุนกลุ่มผู้ป่วยโรคหายากให้ได้มาร่วมแบ่งปันเรื่องราวเชิงลึก แลกเปลี่ยนความคิด และถ่ายทอดอุปสรรคและผลกระทบที่ผู้ป่วยและครอบครัวได้รับจากการเป็นโรคหายาก




 

 

 

 

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “รัฐบาลมุ่งมั่นยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศให้ครอบคลุมในทุกมิติ เข้าถึงประชาชนทุกคนอย่างถ้วนหน้าในทุกพื้นที่ พร้อมกับได้ผลักดันโครงการต่างๆ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจัดให้โรคหายากเป็นเรื่องสำคัญ ผลักดันให้โรงพยาบาลทั่วประเทศได้ตระหนักถึงอาการของโรคหายากต่างๆ เพื่อการคัดกรองในขั้นต้นอย่างมีประสิทธิภาพ หากพบผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ก็จะประสานงานต่อไปยัง ศูนย์โรคหายากในโรงพยาบาลเครือข่ายทั้ง 7 แห่งอย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมารัฐบาลก็ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยโรคโกรเช่ร์ที่มีค่าใช้จ่ายของค่ายาเป็นหลักล้านบาทต่อปี และ ยังได้ขยายสิทธิประโยชน์ตรวจคัดกรองโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก ที่นำมาสู่การเป็นโรคหายากในทารกแรกเกิด ซึ่งสามารถตรวจคัดกรองอย่างรวดเร็วภายใน 24 – 72 ชั่วโมงหลังคลอด การตรวจคัดกรองอันรวดเร็วนี้ จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ไว ลดโอกาสการสูญเสีย การประชุมโรคหายากระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 2 นี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนโยบายและการรักษาโรคหายาก รวมทั้งผู้ป่วย ได้มาพูดคุย เรียนรู้ แบ่งปัน ทำงานร่วมกัน รวมถึงส่งเสริมการไปถึงเป้าหมายที่มีร่วมกัน นั่นก็คือชุมชนที่แข็งแรง ที่ทุกคนมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสาธารณสุขและการเข้าถึงการรักษา เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นแบบองค์รวม รวมทั้ง ระบบสาธารณสุขที่เท่าเทียมกัน”

 


 

รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศรินทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “โรคหายากบางชนิดแสดงอาการออกมาน้อยมาก และบางครั้งมีโอกาสเกิดขึ้น 1 ใน 3 ล้านคนเท่านั้น2 โรคหายากหลายๆ ชนิดยังไม่มีวิธีการรักษาที่เหมาะสมและถูกต้อง ผู้ป่วยโรคหายากส่วนใหญ่ต้องเสียเวลาไปกับการวินิจฉัยที่ไม่ตรงจุด ซึ่งค่าเฉลี่ยของระยะเวลาที่ผู้ป่วยใช้ในการวินิจฉัยจนกว่าจะพบสาเหตุที่แท้จริงของโรคอยู่ที่ประมาณ 4 ปี3 ขณะเดียวกันค่ารักษาและค่ายาก็สูงมากเช่นกัน ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากต้องอยู่กับความกังวลเพราะไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอในการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากโรคนั้นไม่มีนโยบายเรื่องสิทธิการเข้าถึงการรักษา4 ดังนั้นชุมชนโรคหายากจึงมุ่งหวังสู่การเปลี่ยนแปลงและความเสมอภาคทางด้านสาธารณสุข



 

 

ศ.นพ. ธันยชัย สุระ ประธานสมาคมมนุษยพันธุศาสตร์แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APSHG) และนายกสมาคมเวชพันธุศาสตร์และจีโนมิกส์ทางการแพทย์ (สวพจ) หนึ่งในผู้ร่วมจัดงานกล่าวว่า “ผู้ป่วยโรคหายากส่วนใหญ่ต้องเสียเวลาไปกับการวินิจฉัยที่ไม่ตรงจุด เนื่องจาก อาการ แสดงออกที่ไม่เด่นชัดหรือมีการแสดงออกในหลายระบบที่มีความคล้ายกับโรคที่พบทั่วไปจึงมักได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ไม่ตรงกับโรคที่เป็นสาเหตุ ซึ่งค่าเฉลี่ยของระยะเวลาที่ผู้ป่วยใช้ในการวินิจฉัยจนกว่าจะพบสาเหตุที่แท้จริง อาจใช้เวลา 5 – 10 ปีในผู้ป่วยบางราย จึงทำให้เห็นว่า ตัวเลขของอุบัติการณ์ไม่สูงเหมือน โรคอื่นๆ เช่นความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน เป็นต้น แต่ถ้ามองในด้านความสามารถในการวินิจฉัยโรค จะเห็นว่ามีความซับซ้อนมากกว่าและผู้ป่วยโรคนี้มีความเสี่ยงสูงมากที่จะไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ตรงกับโรคที่แท้จริง การคัดกรองและนำผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างถูกต้อง จึงล่าช้าและมักเกิดข้อแทรกซ้อนของโรคจนกลายเป็นโรคเรื้อรัง บางรายอาจเสียชีวิตไปโดยที่ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง นอกจากผู้ป่วยแล้ว คนในครอบครัวและผู้ดูแลก็ยังได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกัน เมื่อมีจำนวนผู้ป่วยน้อยกระบวนการรักษาที่ตามมาจะมีมูลค่าสูงกว่าโรคที่พบบ่อย อยากเห็นผู้ที่เกี่ยวข้องด้านโรคหายากอย่างบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนที่มีประสบการณ์ตรงหรือทางอ้อมกับโรคหายาก และองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมกันส่งเสริมการตระหนักรู้เพื่อให้สังคมได้เข้าใจกับโรค อีกทั้งการสนับสนุนระดับนโยบาย จากกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย ในการช่วยเหลือให้กลุ่มผู้ป่วยที่สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคหายากได้รับการวินิจฉัยเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาได้อย่างรวดเร็วจากศูนย์โรคหายากทั้ง 7 แห่งทั่วประเทศ ก็จะบังเกิดผลดีต่อทุกฝ่าย และเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่ว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”

 


 

เสียงสะท้อนของผู้ป่วยและการร่วมมือกันของภาครัฐและเอกชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย

ขณะเดียวกัน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันผลักดันนโยบายส่งเสริมสุขภาพอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศไทยในระยะยาว สำหรับในประเทศไทยตอนนี้ มีการรวมกลุ่มกันของผู้ป่วยโรคหายาก เพื่อผลักดันสิทธิของผู้ป่วย ส่งเสริม ช่วยเหลือ และให้กำลังใจกันและกันของผู้ป่วยที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคทางด้านสาธารณสุข การสนับสนุนและให้พื้นที่ผู้ป่วยเช่นนี้ จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าเสียงของพวกเขาจะได้รับการรับฟัง ให้คุณค่า และถูกเน้นย้ำในทุกขั้นตอนของนโยบายด้านสาธารณสุข การรักษา และการทำวิจัย 

 

นายปีเตอร์ สไตรเบิล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ทาเคดา มุ่งมั่นสนับสนุนการทำงานของกลุ่มผู้ป่วยโรคหายากในหลายมิติ ทั้งการสร้างความตระหนักรู้ ให้ความสำคัญกับกับการวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ รวทั้งฟังเสียงสะท้อนจากผู้ป่วยโรคหายาก อีกทั้งความร่วมมือของภาครัฐ ผู้ป่วย และกลุ่มคนทำงานด้านสาธารณสุขเป็นก้าวสำคัญ ในการช่วยกันพัฒนานโยบายและหาแนวทางในการเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม การประชุมโรคหายากระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 2 นี้จะเป็นเวทีสำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนและเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้ป่วย และการพัฒนานโยบายที่เกี่ยวข้อง พวกเราจำเป็นต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประจักษ์ให้กับระบบสาธารณสุขของประเทศ ทาเคดาจะยังคงเดินหน้าทำงานกับภาคส่วนต่างๆ ในการสนับสนุนให้โรคหายากเป็นหัวข้อสำคัญทางด้านสาธารณสุขระดับประเทศ เพื่อยกระดับการดูแลผู้ป่วยโรคหายากต่อไป” 

 

 

 

 

 

จากความสำเร็จในงานประชุม Southeast Asia Rare Disease Summit ครั้งที่ 1 ที่ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหายากทั้ง แพทย์ นักวิจัย ตัวแทนผู้ป่วย ผู้กำหนดนโยบาย และหน่วยงานกำกับดูแลจากหลายหลายภูมิภาคทั่วโลกเพื่อให้ความรู้และตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนชุมชนโรคหายากในหลากหลายมิติ และได้ต้อนรับผู้ร่วมงานจากทั่วทุกมุมโลกกว่า 500 คน เข้าร่วมฟังการบรรยายเพื่อต่อยอดสู่การพัฒนาต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้ป่วยโรคหายากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในครั้งนี้กับการประชุม Southeast Asia Rare Disease Summit ครั้งที่ 2  ซึ่งเปิดโอกาสให้ชุมชนโรคหายากจากหลากหลายสาขาได้มาแลกเปลี่ยนความรู้ แชร์ประสบการณ์และรับฟังเสียงจากผู้ป่วย เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายสำหรับชุมชนผู้ป่วยโรคหายากได้อย่างยั่งยืน 

 

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Southeast Asia Rare Disease Summit 2024 ได้ที่นี่

https://seararediseasesummit.org/.


ซีเอ็ด ผนึกกำลัง สสอ. จัดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “บูรณาการการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนการสอน” มุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี

 


บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีเอ็ด และ SE-ED ACADEMY ผู้นำองค์ความรู้และผู้นำกระบวนการในการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาด้านการศึกษาสู่คุณภาพมาตรฐานและการแข่งขันระดับสากล ร่วมกับ สำนักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวศึกษา (สสอ.) จัดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “บูรณาการการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนการสอน” ให้แก่สถานศึกษาในสังกัดอาชีวศึกษาทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการศึกษาไทยด้วยเทคโนโลยี AI และมุ่งหวังให้บุคลากรสามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้วยวิทยากรผู้มีประสบการณ์เชี่ยวชาญด้านการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา และพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน

 

โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สุรพงษ์ เอิมอุทัย ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ เป็นประธานในพิธีเปิด และกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมอบรมจากสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจากภาครัฐ และภาคเอกชน จำนวนทั้งสิ้น 277 คน

 

งานสัมมนาครั้งนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสององค์กร ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ โดยมีวัตถุประสงค์

 

1. เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจในการสร้างสื่อการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การใช้เทคโนโลยี AI ในการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาสื่อการสอน กับการศึกษาในยุคศตวรรษที่ 21

2. เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ด้านทักษะการสอนภาษาอังกฤษที่ผสมผสานการบูรณาการสร้างสรรค์สื่อโดยเทคโนโลยี AI

3. เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้รับความรู้และรู้จักแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดทำสื่อการเรียนการสอน เช่น โปรแกรม ChatGPT

4. เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ร่วมกันออกแบบ เสนอแนวคิด ทดลองใช้สื่อการสอน 

การอบรมครั้งนี้เป็นบรรยายให้ความรู้พร้อมฝึกปฏิบัติการใช้ AI และการประยุกต์ใช้งาน CANVA ถือเป็นเครื่องมือที่มีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนที่มีความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นงานนำเสนอ โปสเตอร์ อินโฟกราฟิก งานวิดีโอ โดยสามารถประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสื่อการจัดการเรียนการสอน สร้างสื่อที่มีความทันสมัย น่าสนใจ ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียน

 

ดร.มีโชค ทองไสว กล่าวถึง แนวโน้มของการศึกษาไทยที่ AI จะเข้ามามีส่วนร่วมในอนาคต

ในฐานะที่ผมทำงานด้านวิชาการภายใต้ “SE-ED ACADEMY” ผมเชื่อว่า AI จะเข้ามามีบทบาทและช่วยส่งเสริมในเรื่องของการศึกษาเรานั้น สามารถที่จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และเมื่อเราพูดถึงทักษะและสมรรถนะของบุคลากรครูในปัจจุบัน กับตลาดแรงงานที่กำลังเปลี่ยนไป เราต้องพัฒนาอะไรมากขึ้น สิ่งที่สำคัญมากๆ คือ การพัฒนาทักษะทางด้านดิจิทัล ให้เรารู้เท่าทันและสามารถใช้งานมันให้ก่อเกิดประโยชน์ ผมคิดว่าตรงนี้คือหัวใจที่สำคัญ และซีเอ็ดมีความพร้อมที่จะมีส่วนในการขับเคลื่อนการศึกษาไทย โดยที่บูรณาการเทคโนโลยีเข้ามา และส่งเสริมให้เด็กไทยของเรามีสมรรถนะที่แข่งขันได้ในระดับนานาชาติ”

 

ดร.สุรพงษ์ เอิมอุทัย กล่าวถึง แนวทางในการนำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้ในอาชีวศึกษา

 ในปีนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา โดยสำนักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรทางการศึกษา (สสอ.) ก็มีแนวทางที่จะนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการพัฒนาผู้บริหารและคุณครูอาชีวศึกษาให้ตระหนักถึงการเข้ามาของ AI นั้นมีความสำคัญในการผลิตและพัฒนากำลังคน รวมถึงการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับนักศึกษาของพวกเรา รวมถึงประชาชนทั่วไป ในส่วนของผู้บริหารต้องเข้าใจและสามารถนำ AI เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการการศึกษาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

คุณกรชนก ฤทธิสิงห์  Regional Area Manager Thailand & South East Asia, Oxford University Press  กล่าวถึง การเป็นส่วนนึงของการสัมมนาในหัวข้อ “การใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาสื่อการสอน” ในครั้งนี้

ต้องยอมรับว่า AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ทำให้ชีวิตเราทั้งในทุกๆ วันนี้มีความสะดวกสบายมากขึ้น และในหลายๆ ด้าน รวมไปถึงเรื่องของระบบการศึกษาด้วย ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ทางซีเอ็ด และ Oxford ได้มองเห็นในทิศทางเดียวกัน และริเริ่มจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยสนับสนุนอาจารย์ และผู้บริหารต่างๆ ของโรงเรียนอาชีวศึกษาให้ได้รู้จักเอาตัว AI เข้ามาเป็นองค์ประกอบในการเรียนการสอนได้ ทำให้ผู้เรียนจะได้ประโยชน์จากการใช้ AI เพราะช่วยในเรื่องของการเรียน ช่วยในเรื่องของการทำบททดสอบ รวมถึงการสร้างผลงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


วว. /ม.ขอนแก่น/บพค. รับสมัครผู้ช่วยวิจัยเข้าศึกษาระดับปริญญาเอก ภายใต้โครงการ "ธัชวิทย์" วิทยสถานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย

 


กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น  โดยการสนับสนุนของ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) เปิดรับสมัครผู้ช่วยวิจัยเพื่อเข้าศึกษาในระดับปริญญาเอก ภายใต้โครงการ “ธัชวิทย์" วิทยสถานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย  (Thailand Academy of Sciences : TAS) ในหลักสูตร Bioscience and Bioinnovation for Sustainability ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 19 เมษายน  2567

ทั้งนี้มีเป้าหมายดำเนินงานดังกล่าวเพื่อผลิตดุษฎีบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมรรถนะสูง เพื่อทำงานด้านการวิจัยและพัฒนา ตอบสนองความต้องการของประเทศ

โดยผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ จะทำวิจัยหลัก ณ  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย  เทคโนธานี  คลองห้า  อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ ดร.วราภรณ์  ศรเดช  นักวิจัย วว. โทร. 0 2577 9128 หรือที่ E-mail : waraporn_s@tistr.or.th


ใหม่! ไฟน์ไลน์ซักผ้าเข้มข้น มิราเคิล เพอร์ฟูม เสริมทัพซักผ้ากลุ่มน้ำหอม ซักสะอาด ไร้คราบ พร้อมกลิ่นหอมหรูให้ใจฟูได้ทุกวัน

 


ไฟน์ไลน์ (Fineline) ผู้นำผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าครบทุกขั้นตอน หนึ่งในแบรนด์สินค้าคุณภาพในเครือนีโอ คอร์ปอเรท บริษัทสินค้าอุปโภคชั้นนำสัญชาติไทย คุณภาพระดับสากล แนะนำไอเท็มใหม่ ไฟน์ไลน์ซักผ้าเข้มข้น มิราเคิล เพอร์ฟูม สีแดง (Fineline Laundry Detergent Concentrated Miracle Perfumeชวนสัมผัสความหัศจรรย์ของพลังซักสะอาดลึกถึงเส้นใยผ้า มอบกลิ่นหอมหรูยาวนานให้ชุดโปรด ด้วยความหอมหรู ระดับน้ำหอมเคาน์เตอร์แบรนด์

ใหม่! ไฟน์ไลน์ซักผ้าเข้มข้น มิราเคิล เพอร์ฟูม พลังซักสะอาดซอกซอนลึกถึงเส้นใยผ้า ขจัดคราบสกปรกฝังแน่น ไม่ว่าจะเป็น คราบอาหาร กาแฟ และคราบลิปสติก พร้อมกำจัดกลิ่นอับชื้นบนผ้าด้วยเทคโนโลยี FX Tech ลิขสิทธิ์จากไฟน์ไลน์ หมดกังวลแม้ตากผ้าในที่ร่ม ไม่โดนแดด นอกจากนี้ยังเพิ่มพลังความหอมบนเนื้อผ้าให้หรูหรายิ่งกว่า ด้วยกลิ่นหอมระดับน้ำหอมเคาน์เตอร์แบรนด์จากดอกแมคโนเลียที่ให้ความหอมแบบพรีเมี่ยม พร้อมความสดชื่นจากกลิ่นผลไม้ซีตรัส และเบอร์รี่ต่าง ๆ  ที่ผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว

พิสูจน์พลังซักสะอาดสุดมหัศจรรย์ของผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น ไฟน์ไลน์ มิราเคิล เพอร์ฟูม มีให้เลือก ขนาด 130 มล. ราคา 20 บาท, 430 มล. เพิ่มปริมาณ 40% ราคา 68 บาท, 700 มล.ราคา 99 บาท และ 1,400 มล. ราคา 189 บาท วางจำหน่ายที่ ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ และร้านค้าใกล้บ้านทั่วประเทศ หรือช้อปออนไลน์ได้ทาง 7-Online, Shopee, Lazada, Konvy ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ทาง FB : FinelineThailand, IG : @finelinethailand, TikTok : @finelinethailand, Line Official Account : @NEOdealDD

 

ห้างเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ปรับโฉมห้างเซ็นทรัลชิดลมครั้งใหญ่ด้วยงบลงทุน 4 พันล้านบาท สู่การเป็นห้างสรรพสินค้าลักชัวรี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Store of Bangkok” พร้อมเปิดโซนลักชัวรี บิวตี้และแฟชั่นเมษายนนี้ และเผยโฉมเต็มรูปแบบในไตรมาส 4 ปีนี้

 


กรุงเทพฯ 26 มีนาคม 2567 – ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ลงทุนครั้งใหญ่ พันล้านบาท พลิกโฉมห้างเซ็นทรัลชิดลมภายใต้คอนเซปต์ The Store of Bangkok เดินหน้าสู่การเป็นห้างสรรพสินค้าลักชัวรีที่มุ่งมอบประสบการณ์ช้อปแบบ “One-Stop-Shopping” ที่ลูกค้าสามารถเพลิดเพลินกับสินค้าหลากหลายแบรนด์ในทุกหมวดหมู่ได้ครบในที่เดียว เหนือระดับด้วยส่วนผสมที่ลงตัวของการออกแบบและสถาปัตยกรรมระดับเวิลด์คลาส แบรนด์ลักชัวรีระดับโลกและบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟเหนือระดับ รวมถึงการเป็นจุดหมายแห่งแรงบันดาลใจสำหรับทุกคน เพื่อก้าวสู่นิยามใหม่ของห้างสรรพสินค้าลักชัวรีตัวจริง ใจกลางกรุงเทพฯ

 

ณัฐธีรา บุญศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ห้างเซ็นทรัลชิดลม มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เพราะเป็นห้างแฟลกชิปของเรามาตั้งแต่ปี 2517 โดยไม่เพียงมีทำเลเชิงกลยุทธ์ใจกลางเมืองที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงเท่านั้น แต่ยังเป็นห้างสรรพสินค้าในรูปแบบ “One-Stop-Shopping” แห่งแรกของประเทศไทย ที่มีพัฒนาการผ่านยุคสมัยและอยู่คู่กับลูกค้าและวงการค้าปลีกไทยมากว่า ทศวรรษ วันนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม จะก้าวขึ้นสู่การเป็นห้างสรรพสินค้าลักชัวรีด้วยการออกแบบและรังสรรค์พื้นที่ที่มุ่งมอบประสบการณ์ใหม่ แบรนด์และสินค้าที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน การบริการที่ได้รับการยกระดับสู่ระดับเวิลด์คลาส วันนี้เราไม่ได้มองห้างเซ็นทรัลชิดลม ในฐานะห้างสรรพสินค้าเท่านั้น แต่ที่นี่คือ The Store of Bangkok เดสติเนชั่นของการช้อปปิ้งของกรุงเทพฯ ในใจลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ”

 

นิยามใหม่ของห้างเซ็นทรัลชิดลม The Store of Bangkok  สะท้อนมาจากวิสัยทัศน์ของกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลในการเป็น “แรงบันดาลใจในทุกช่วงเวลาของชีวิต” (The Store of Endless Inspiration for Every Moment of Your Life) ผสานกับ แนวคิดหลักในการปรับโฉมห้างเซ็นทรัลชิดลม เพื่อมุ่งสู่การเป็นห้างสรรพสินค้าลักชัวรีอย่างแท้จริง ซึ่งได้แก่ 

 

The Store of Design and Concept การออกแบบและงานสถาปัตยกรรมโดยบริษัทสถาปนิกชั้นนำของไทยพร้อมบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ผสานไอเดียสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่มีความร่วมสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทยและเปี่ยมด้วยรายละเอียดและมาตรฐานในระดับสากล และเลือกใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศไทยในการโดยมีการปรับโฉมเพื่อยกระดับห้างเซ็นทรัลชิดลมในหลากหลายมิติ ได้แก่

  • ยกระดับประสบการณ์ขยายพื้นที่ส่วนกลางของห้างให้กว้างขวาง โอ่อ่าขึ้นเพื่อมอบบรรยากาศหรูหราและผ่อนคลาย และมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งในรูปแบบเดสติเนชั่นของสินค้าในทุกหมวดหมู่ ที่ตรงใจและตอบโจทย์ลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์
  • ยกระดับสถาปัตยกรรม: ออกแบบ Façade ด้านนอกอาคาร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของห้างเซ็นทรัลชิดลมให้มีความทันสมัยมากขึ้น เลือกใช้กระจกสีขาวขุ่น ซึ่งสามารถเรืองแสง และเปลี่ยนสีได้ในเวลากลางคืน โดยห้างเซ็นทรัลชิดลมจะเป็นห้างสรรพสินค้าที่สว่าง สดใส มีชีวิตชีวา และเป็น Iconic landmark แห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร
  • ยกระดับการเข้าถึงเพิ่มทางเชื่อมต่อจากรถไฟฟ้า (Sky Bridge) ที่ชั้น 1 ซึ่งเชื่อมเข้าสู่ชั้นลักชัวรีโดยตรง พร้อมขยายทางเชื่อมรถไฟฟ้าเดิมที่ชั้น เพื่อให้ลูกค้าเดินทางเข้าสู่ห้างเซ็นทรัลชิดลมได้สะดวกสบายมากขึ้น

 

The Store of Curated Destinations ความพิเศษของห้างเซ็นทรัลชิดลมคือการเป็นเดสติเนชั่นที่รวบรวมหลากหลายแบรนด์ไว้ในที่เดียว มีการคัดสรรแบรนด์สินค้าอย่างพิถีพิถัน พร้อมจัดหมวดหมู่สินค้าโดยคำนึงถึงระดับราคาและจุดยืนของแบรนด์ เพื่อมอบประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างเหนือระดับ และตอบโจทย์ลูกค้าของห้างเซ็นทรัลชิดลม ไม่ว่าจะเป็น

·      World of Luxury: มอบประสบการณ์ช้อปแบบเวิลด์คลาสลักชัวรีกับ

§  Luxe Galerie ที่อัดแน่นด้วยบูทีคของแบรนด์ชั้นสูงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Balenciaga, Bottega Veneta, Burberry, Celine, Chanel, Dolce & Gabbana, Emilio Pucci, Fendi, Gucci, Kenzo, Loewe, Louis Vuitton, Missoni, Miu Miu, Prada, Roger Vivier, Saint Laurent และ Versace พร้อมด้วย

§    Shoes Avenue พื้นที่สำหรับคอลเลกชันรองเท้าแบรนด์หรูที่สามารถเลือก และลองรองเท้าจากแบรนด์ลักชัวรี ได้หลากหลายแบรนด์ ครบทุกสไตล์ในพื้นที่เดียว Bottega Veneta, Burberry, Christian Louboutin, Coperni, Cult Gaia, Dolce & Gabbana, GCDS, Gucci, Isabel Marant, Jimmy Choo, Marni, Prada, Proenza Schouler, Roger Vivier, Sergio Rossi, Sophia Webster, Tod's, Tom Ford, Tory Burch, และ Vivienne Westwood โดยจะมีแบรนด์ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Giuseppe Zanotti, Mach & Mach, Rene Caovilla, The Attico เป็นต้น

·      World of Beauty: Beauty Galerie (บิวตี้ แกลเลอรี) โฉมใหม่ที่หรูหราและที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บนพื้นที่กว่า 6,000 ตร.ม. ครบครันด้วยผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ความงามระดับโลกกว่า 150 แบรนด์ พร้อมด้วยบูทีคจากบิวตี้แบรนด์ระดับโลก อาทิ Chanel, Dior, La Mer และ Gucci ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์พิเศษเพื่อมอบประสบการณ์ด้านความงามอย่างที่เหนือระดับ และมีแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟที่มีจำหน่ายเฉพาะที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม เช่น Augustinus Bader และ Officine Universelle Buly นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ความงามออร์แกนิก รวมถึงผลิตภัณฑ์ความงามเฉพาะกลุ่ม (Niche Beauty) เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกชมและเลือกช้อปผลิตภัณฑ์ที่ตรงความต้องการได้อย่างง่ายดาย

·       World of Youth: เดินหน้าขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยสร้างสรรค์เดสติเนชั่นที่รวบรวมสินค้าแฟชั่นและสตรีทแฟชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ โดยห้างเซ็นทรัลชิดลมเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกและแห่งเดียวที่มี Sneaker Boulevard พื้นที่รวมรองเท้าสนีกเกอร์กว่า 800 คู่ ทั้งคอลเลคชันล่าสุด รุ่นพิเศษ รุ่นหายากจากหลากหลายแบรนด์ดังเพื่อคนรักสนีกเกอร์โดยเฉพาะ

·       Best Curated Food Destination: คัดสรรร้านอาหารและคาเฟ่ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์และทุกเจเนอเรชัน โดยมีร้านอาหารและคาเฟ่มากขึ้นกว่าเดิม เท่า รวมกว่า 60 ร้าน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ไม่ได้ต้องการมาห้างเพื่อช้อปปิ้งเท่านั้น แต่มาแฮงค์เอาท์ใช้เวลาร่วมกับคนที่รัก ทำให้ห้างเซ็นทรัลชิดลมเป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง และเป็นเดสติเนชันที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น

·      Best-in-Class Service การบริการที่มีความพิเศษมากยิ่งขึ้น เช่น การยกระดับห้องรับรองใหม่ ผู้ช่วยช้อปปิ้งส่วนตัว และบริการที่จอดรถแบบดิจิทัล

 

The Store of Communities ห้างเซ็นทรัลชิดลม ยังมุ่งเป็นจุดหมายแห่งแรงบันดาลใจ เพื่อสร้างคอมมิวนิตี้ที่แข็งแกร่ง โดยครอบคลุมถึง

  • การให้ความสำคัญกับลูกค้า โดยลูกค้าของห้างเซ็นทรัล ชิดลมแบ่งออกเป็น กลุ่มหลักด้วยกัน คือ (1) กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อตั้งแต่กลางถึงสูง ชื่นชอบสินค้าที่มีความเฉพาะและผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี (2) กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและพลังในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ชื่นชอบในแฟชั่น ผลงานศิลปะ และการใช้นวัตกรรมสมัยใหม่ และ (3) กลุ่มนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่ทำงานหรืออาศัยอยู่ในประเทศไทย
  • เปิดตัว CENFINITY เพื่อยกระดับรอยัลตี โปรแกรมสำหรับ Top Customers ของห้างเซ็นทรัล ห้างโรบินสัน และเซ็นทรัล เอ็มบาสซี และเป็นกลุ่ม Top Customers ของสมาชิกเดอะวัน (The1) ซึ่งในปีที่ผ่านมา โดยออกแบบให้เป็นโปรแกรมที่มีความเฉพาะเจาะจงและเฉพาะบุคคลมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และตรงใจลูกค้าคนสำคัญของห้างฯ มากที่สุด
  • สร้าง Identity ใหม่ให้กับห้างเซ็นทรัลชิดลม ทั้งโลโก้ (ตราสัญลักษณ์)ฟอนต์ (ตัวอักษร) โดยได้แรงบันดาลใจจากดีไซน์ใหม่ของห้างเซ็นทรัลชิดลม และพิเศษสุดกับการออกแบบสีใหม่ Central Chidlom Rose Pink” หรือสีชมพูเซ็นทรัลชิดลมที่ได้แรงบันดาลใจจากดอกไม้ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์อีเว้นท์ของห้าง โดยสีใหม่นี้จะใช้เฉพาะที่ห้างเซ็นทรัลชิดลมสาขาเดียวเท่านั้น ภาพลักษณ์ใหม่นี้ให้ความรู้สึกสดใหม่ เปี่ยมด้วยพลัง มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นมิตร  และสร้างความแตกต่างและโดดเด่นให้กับห้างเซ็นทรัลชิดลมจากห้างเซ็นทรัลสาขาอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง
  • ปักหมุดเป็นจุดหมายแห่งแรงบันดาลใจของคอมมิวนิตี้ ที่นำเสนองานอีเวนต์สุดสร้างสรรค์ในหลากหลายมิติ ทั้งศิลปะ ดนตรี อาหาร รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรในไทยและระดับโลก เพื่อสร้างสีสันและดึงทราฟฟิคตลอดทั้งปี  นอกจากนี้ทางห้างเซ็นทรัลยังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจความยั่งยืนและใส่ใจสิ่งแวดล้อมในหลายด้าน ผ่านการลดการใช้ถุงพลาสติก การรณรงค์ใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุธรรมชาติเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการตกแต่งห้าง เป็นต้น

 

ห้างเซ็นทรัลชิดลมพร้อมเผยโฉมภาพลักษณ์ใหม่ภายใต้คอนเซปต์ The Store of Bangkok” ต้อนรับลูกค้าชาวไทยและต่างชาติจากทั่วโลกกับโซนลักชัวรี บิวตี้และแฟชั่นในเดือนเมษายนนี้ และเตรียมพบกับห้างเซ็นทรัลชิดลมโฉมใหม่เต็มรูปแบบในเดือนธันวาคมของปีนี้ นอกเหนือจากการรีโนเวทห้างเซ็นทรัลชิดลมครั้งใหญ่นี้ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลยังมีแผนที่จะทยอยรีโนเวทหลายสาขาทั่วประเทศให้สอดรับกับแผนธุรกิจของห้างเซ็นทรัลภายในปีนี้ด้วยเช่นกัน

 

สำหรับยอดการใช้จ่ายจากกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมและกลุ่มคนรุ่นใหม่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าว่าในปี 2568 หลังจากที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม โฉมใหม่ได้เปิดให้บริการเต็มรูปแบบแล้ว จะมีจำนวนทราฟฟิกของลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น 20% และมียอดขายเติบโตขึ้น 30%

 

ห้างเซ็นทรัลชิดลม มีการพัฒนาและก้าวตามการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยครั้งนี้มีความพิเศษยิ่งกว่า เพราะไม่เพียงเป็นการรีโนเวทเพื่อปรับภาพลักษณ์ที่ลูกค้าเห็นเท่านั้น แต่เรากำลังเดินหน้าสู่การเป็น The Store of Bangkok ห้างสรรพสินค้าลักชัวรีที่มอบประสบการณ์ช้อปแบบ “One-Stop-Shopping” ในระดับเวิลด์คลาส และเป็นห้างสรรพสินค้าอันดับหนึ่งในใจของลูกค้าคนสำคัญของเราตลอดไป” คุณณัฐธีรา กล่าวสรุป

แอลจี เปิดตัว LG PuriCare 360° Alpha Pet ครั้งแรกของเครื่องฟอกอากาศสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง มาพร้อมฟังก์ชันครบครัน เพื่อส่งมอบอากาศสะอาดบริสุทธิ์ให้สมาชิกทุกคนในบ้าน


 

บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย มร. ซองฮัน จอง ประธานกรรมการบริหาร เปิดตัวเครื่องฟอกอากาศ LG PuriCare 360° Alpha Pet ซึ่งเป็นเครื่องฟอกอากาศที่พัฒนาขึ้นเพื่อเน้นตอบโจทย์การใช้งานสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงภายในบ้านเป็นครั้งแรก โดดเด่นด้วยฟังก์ชันการใช้งานหลากหลายสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ PET Mode  ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีประสิทธิ์ภาพที่มากกว่า กรองไรขนสัตว์ได้ดียิ่งกว่าเดิมถึง 30% ช่วยลดกลิ่นสัตว์เลี้ยงภายในห้องได้ถึง 94%  และฟิลเตอร์กรองสำหรับกำจัดมลพิษทางอากาศและกลิ่นได้มากถึง 4 เท่า

(ในภาพ จากซ้าย) บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย คุณอำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด
คุณมิกซ์ สหภาพ วงศ์ราษฎร์ มร. ซองฮัน จอง ประธานกรรมการบริหาร คุณหมอเน๋ง ศรัณย์ นราประเสริฐกุล
และคุณโยเกิร์ต ณัฐฐชาช์ บุญประชม

กรุงเทพฯ26 มีนาคม 2567 – บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวเครื่องฟอกอากาศ LG PuriCare 360° Alpha Pet ซึ่งเป็นเครื่องฟอกอากาศที่พัฒนาขึ้นเพื่อเน้นตอบโจทย์การใช้งานสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงภายในบ้านเป็นครั้งแรก โดดเด่นด้วยฟังก์ชันการใช้งานหลากหลายสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ PET Mode  ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีประสิทธิ์ภาพที่มากกว่า กรองไรขนสัตว์ได้ดียิ่งกว่าเดิมถึง 30%[1] ช่วยลดกลิ่นสัตว์เลี้ยงภายในห้องได้ถึง 94%[2]  และฟิลเตอร์กรองสำหรับกำจัดมลพิษทางอากาศและกลิ่นได้มากถึง 4 เท่า[3] ตอบรับการใช้งานในทุกขนาดพื้นที่ทั้งรุ่น AS65GDBY0 เหมาะกับห้องหรือพื้นที่ที่มีขนาดสูงสุด 61.2 ตารางเมตร และรุ่น AS10GDBY0 ที่สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่า 104 ตารางเมตร และภายในงานพบกับ หมอเน๋ง – ศรัณย์ นราประเสริฐกุล นักแสดงและสัตว์แพทย์ พร้อมกับ คุณโยเกิร์ต – ณัฐฐชาช์ บุญประชม นางแบบและเซเลบริตี้ชื่อดัง และ คุณมิกซ์ – สหภาพ วงศ์ราษฎร์’ ศิลปินและว่าที่สัตว์แพทย์ ที่มาร่วมแบ่งปันเทคนิคและประสบการณ์การอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงในบ้าน รวมถึงเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่มาเปิดประสบการณ์เครื่องฟอกอากาศสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง สัมผัสอากาศสะอาดได้อย่างทั่วถึงพร้อมกับสัตว์เลี้ยงแสนรักของตัวเอง

มร. ซองฮัน จอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องฟอกอากาศสำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงในงาน Let’s Breathe Freely Joyful Moment with Pet ครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสรรค์สร้างนวัตกรรมเพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคและเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เป็นอีกหนึ่งสมาชิกในครอบครัวที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย เครื่องฟอกอากาศสำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง LG PuriCare 360° Alpha Pet เป็นความภูมิใจของเรา ที่ได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ และนับเป็นครั้งแรกของผลิตภัณฑ์เครื่องฟอกอากาศที่มีการพัฒนาฟังก์ชันและดีไซน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะสำหรับการใช้งานในบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง อีกทั้งยังช่วยกำจัดปัญหากลิ่นและขนของสัตว์เลี้ยง ซึ่งแอลจีเล็งเห็นว่าเป็นหนึ่งในปัญหาที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงหลายคนต้องเผชิญ พร้อมกับมอบอากาศสะอาดบริสุทธิ์ให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้าน เครื่องฟอกอากาศแอลจี จึงนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของชีวิตยุคใหม่ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราเรื่อง Reinvent your Future หรือ พลิกโฉมอนาคตของคุณ

เครื่องฟอกอากาศ LG PuriCare 360° Alpha Pet โดดเด่นด้วยโหมดการใช้งานสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Mode) ที่มาพร้อมระบบฟอกอากาศที่ทรงประสิทธิภาพ โดยเฉพาะบริเวณพื้นซึ่งเป็นบริเวณที่สัตว์เลี้ยงทำกิจกรรมต่าง ๆสามารถกรองไรขนสัตว์ได้ดียิ่งกว่าเดิมถึง 30%  แผ่นกรองชั้นนอกแบบถอดออกได้ (Attachable Pre-filter) ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อดักจับขนสัตว์และฝุ่นโดยเฉพาะฟิลเตอร์กำจัดกลิ่น (Photo Catalyst Filter) สามารถกำจัดสาเหตุหลักของกลิ่นจากอุจจาระสัตว์เลี้ยงอย่างแอมโมเนียแอซีทาลดีไฮด์กรดอะซิติก ได้มากขึ้นถึง 94% และผู้ใช้ยังสามารถปรับประสิทธิภาพในการระงับกลิ่นของฟิลเตอร์ให้เหมือนใหม่ได้อย่างสะดวกสบาย เพียงนำฟิลเตอร์กำจัดกลิ่นไปสัมผัสกับแสงฟลูออเรสเซนต์ หรือ แสงแดดให้เพียงพอตามระยะเวลาที่กำหนด  

นอกจากนี้ เครื่องฟอกอากาศ LG PuriCare 360° Alpha Pet ยังมอบประสิทธิภาพการฟอกอากาศที่เหนือกว่า ด้วยแผ่นกรองพรีฟิลเตอร์ (Safe Plus) ที่ช่วยกำจัดฝุ่นละอองขนาดใหญ่, แผ่นกรอง HEPA กำจัดฝุ่นละอองขนาดเล็กระดับ 0.01 ไมครอน ได้ถึง 99.999%[4] และการกำจัดเชื้อไวรัส[5] และแบคทีเรียในอากาศ ได้ถึง 99.9%[6]รวมถึงแผ่นกรอง Deodorization ที่สามารถกำจัดกลิ่นและสารเคมีในอากาศ Allergy Mode ช่วยลดการเกิดสารก่อภูมิแพ้ UVnano กำจัดแบคทีเรียภายในตัวเครื่อง 99.99%[7] และเทคโนโลยีPlasmaster+ Ionizer ที่มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในอากาศ เพิ่มประสิทธิภาพ Clean Booster  ฟอกอากาศได้เร็วและไกลขึ้นถึง 24%[8] โดยยังคงดีไซน์แบบ 360 องศาอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อดูดและกรองมลภาวะ กระจายอากาศสะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างรอบทิศทาง

คุณอำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวเสริมว่า แอลจีได้เล็งเห็นถึงการเติบโตของเทรนด์ ‘Pet Parents’ ที่ผู้บริโภคมีสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกของครอบครัว จึงได้มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายของผู้บริโภคและลูกค้าอย่างครอบคลุมทุกกลุ่ม รวมทั้งพัฒนาฟังก์ชันการทำงานผลิตภัณฑ์ของเราให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง LG PuriCare 360° Alpha Pet จึงเป็นเครื่องฟอกอากาศที่ได้รบการออกแบบมาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง และเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมการรักษาความสะอาดและสุขอนามัยภายในครอบครัว ให้ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น งานในครั้งนี้ยังเป็นโอกาสอันดีที่เราได้ร่วมรับฟังและพูดคุยเกี่ยวกับเทคนิคการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณหมอเน๋ง – ศรัณย์ นราประเสริฐกุล
สัตวแพทย์มากความสามารถที่มาแชร์ความรู้พร้อมเคล็ดลับดี ๆ พร้อมกับคุณโยเกิร์ต – ณัฐฐชาช์ บุญประชม นางแบบชื่อดังและคุณมิกซ์ – สหภาพ วงศ์ราษฎร์ ศิลปินและว่าที่สัตวแพทย์ ตัวแทนกลุ่ม Pet Parents ที่ให้เกียรติมาร่วมงานเปิดตัวและเปิดประสบการณ์ครั้งแรกกับเครื่องฟอกอากาศสำหรับสัตว์เลี้ยงของแอลจีในวันนี้ด้วย”

เครื่องฟอกอากาศ LG PuriCare 360° Alpha Pet  ดีไซน์สวยสะดุดตาด้วยสีเบจ เข้ากับการตกแต่งบ้านหรือห้องหลากหลายรูปแบบ มาพร้อมตัวเลือก 2 รุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านขนาดพื้นที่ที่หลากหลาย ได้แก่  AS65GDBY0 และAS10GDBY0 โดยรุ่น AS65GDBY0 จะวางจำหน่ายในราคา 27,900 บาท และรุ่น AS10GDBY0ในราคา 43,900 บาท  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ตัวแทนจำหน่ายของแอลจีทั่วประเทศ และศูนย์ข้อมูลแอลจี 0-2057-5757 และสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมติดตามกิจกรรมต่างๆ จากแอลจีได้ทาง

“ณภัทร” คว้าแชมป์ โตโยต้า ไทยแลนด์ ลองไดร์ฟ แชมเปี้ยนชิพ 2024 พร้อมลุยศึกชิงแชมป์โลกที่สหรัฐฯ

  24  เมษายน  2567 -  ณภัทร แซ่ลิ้ม โชว์พลังหวด  365.7  หลา คว้าแชมป์  “ โตโยต้า ไทยแลนด์ ลองไดร์ฟ แชมเปี้ยนชิพ  2024”  รอบชิงชนะเลิศ ที่สนา...