วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

SNEAKERHEAD TEAM ปิดฉากคว้าแชมป์ REGAL F.C. by CHIVAS THE BLEND ทีมแรกของประเทศไทยอย่างสวยงาม ฟาดไอเดีย โชว์สกิล สร้างปรากฎการณ์การรวมกันของฟุตบอลและสตรีทคัลเจอร์ใน 5 ภารกิจหินสุดมันส์

 


กรุงเทพฯ, 28 กุมภาพันธ์ 2565 – REGAL F.C. by Chivas the Blend ปรากฎการณ์ครั้งแรกและครั้งสำคัญของการผสมผสานกันระหว่างฟุตบอลและสตรีทคัลเจอร์ผ่านการรวมตัวของตัวท็อปสายสตรีทคัลเจอร์ทั้ง 3 ทีม เดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ววันนี้  หลังจากที่ฝ่า 5 ภารกิจโชว์ไอเดียและสกิลสุดคูล ในที่สุดทีม SNEAKERHEAD ก็คว้าชัยชนะใน FINAL MATCH ได้อย่างสวยงาม คว้ารางวัลใหญ่บินลัดฟ้าสู่ประเทศอังกฤษไป Old Trafford ชม Exclusive Manchester United Experience แบบติดขอบสนาม 

 

ก่อนเราจะเข้าสู่ FINAL MATCH ลองมาสรุปผลการแข่งขันที่ผ่านมากันสักนิด เริ่มต้นที่ภารกิจแรก กับการออกแบบเสื้อ Jersey  เกมนี้ทุกทีมส่งผลงานเข้าตากรรมการ ทำให้ได้แต้มไปทีมละ คะแนน ถัดมาเกมที่สอง หาสุดยอดทีมที่สามารถใช้จอยเกมเล่นกีฬา ทีม GANGSTAR คว้าชัยโชว์สกิลความว่องไวและแม่นยำที่สุด และสำหรับภารกิจที่สามแต่ละทีมร่วมกันฟาดฟันโชว์ไอเดียทำ Street Art โดยภารกิจนี้ทีม SWAGGER สามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม จึงคว้าคะแนนนำและเอาชนะภารกิจนี้ได้อย่างงดงาม ภารกิจที่สี่คือการแข่งกันการพากย์กีฬา ทีมที่สามารถพากย์โฟลว์ดีไม่มีสะดุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากทีม GANGSTAR ภารกิจสุดท้าย คือการลงสนามจริง วัดทักษะแข้งและฝีเท้าว่าใครดีใครเด็ด และผลลัพธ์คือ SNEAKERHEAD เป็นฝ่ายชนะ ดัังนั้นจึงทำให้ทีม GANGSTAR นำโด่งด้วยคะแนนรวม คะแนน ตามมาด้วยทีม SNEAKERHEAD ที่ คะแนน และทีม SWAGGER รั้งท้ายที่ คะแนน


บทสรุปของการแข่งขันนี้ จะตัดสินกันที่ FINAL MATCH รอบนี้ทีม SWAGGER นำทีมโดย โดย TWOPEE โต้งทูพี-พิทวัส Pradaa ปราด้า-ธันย์สิตา และ CDGuntee ซีดี-กันต์ธีร์ แร็ปเปอร์มาดกวน เอาชนะการแข่งขัน ด้วยคะแนน 1,300 คะแนน ทำให้คะแนนขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 ของเกมแรก จากเกม “Goalkeeper” เกมที่ใช้ทักษะความเร็วของมือในการตีลูกบอลบนบอร์ดให้เร็วที่สุด เสมือนตำแหน่ง Goalkeeper ที่สามารถป้องกันลูกบอลได้มากที่สุด


ถัดมาที่เกมที่สอง คือเกม “OX” ด้วยการเตะลูกฟุตบอลให้เข้าช่อง เข้าสามช่องติดกันก่อนเป็นผู้ชนะ โดยเกมนี้ผู้ชนะคือ ทีม SNEAKERHEAD นำทีมโดย ปริ๊น-อนุพงศ์ เจ้าของร้าน Carnival แม้ว-วราลี เจ้าของแบรนด์ SSAP และบ็อบ-วรากฤช แบรนด์สตรีทแฟชั่นและมือเตะที่คว้าชัยให้แก่เกมครั้งนี้คือ บ็อบ-วรากฤช เจ้าของแบรนด์ V.A.C เบียดให้ทีม GANGSTAR หล่นลงมาเป็นอันดับที่สอง


เกมสุดท้าย “Best Striker” เกมตัดเชือกที่ตัดสินว่าทีมใดจะเป็นทีมผู้คว้าชัยของ REGAL F.C. by CHIVAS THE BLEND ในครั้งนี้ไป เป็นเกมที่ต้องใช้ทักษะและความแม่นยำในการเล็งการเตะไปที่ป้ายคะแนน โดยทีมไหนเตะชนป้ายคะแนนมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ และทีม SNEAKERHEAD ก็โชว์สกิลสิงห์สนามตัวจริงจนยืนหนึ่งในเกมนี้

 

ปิดฉากภารกิจการนำสุดยอดคนดังแต่ละวงการมาโชว์สกิลการ “Blend” ฟุตบอลร่วมกับสตรีทคัลเจอร์ ในแบบฉบับของ Regal F.C. Chivas the Blend สร้างผลลัพธ์และแรงบันดาลใจในการผสมผสานสองสิ่งที่แตกต่างออกมาได้อย่างสวยงาม

 

ร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของ Regal F.C. และการข่าวสารได้ที่

 

Facebook: https://www.facebook.com/Chivastheblend/videos/264672069035861

YouTube: https://www.youtube.com/watch?v=a6NtQ6MY0sM

Facebook: Chivas The Blend

YouTube: Chivas The Blend

 

#ChivasTheBlend #IRiseWeRise #SuccessIsABlend #RegalFC #ส่วนผสมของความสำเร็จ

“เมทริส ดิสทริค ลาดพร้าว” คอนโดที่ออกแบบมาเพื่อคนรักสัตว์ เปิดจองห้องสวย วิวดีก่อนใคร ในรอบพรีเซล 5-6 มี.ค.นี้ อัดแน่นด้วยฟังก์ชันครบครันเพื่อการใช้ชีวิตแบบ Next Normal

 


เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ผู้นำ Pet-Friendly Residences เปิดรอบพรีเซลจองโครงการ “เมทริส ดิสทริค ลาดพร้าว” คอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ใกล้ห้าแยกลาดพร้าว ห่างจาก MRT พหลโยธินเพียง 230 เมตร ออกแบบมาในคอนเซ็ปต์ MAXIMALIFE ให้ชีวิตไร้ขีดจำกัด ตอบโจทย์ชีวิต Next Normal รองรับทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ จัดเต็มกับส่วนกลางเพื่อคนรักสัตว์ เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาคอนโดมิเนียมที่คนและสัตว์สามารถอยู่ร่วมกันได้แบบครบทุกมิติ ภายในงานพบกับข้อเสนอสุดคุ้ม รับสิทธิ์เลือกยูนิตสวยก่อนใครในราคาสุดพิเศษ ราคาเริ่มต้นเพียง 2.99 ล้านบาท สำหรับผู้ที่จองในงานรับของแถมอีกมากมาย อาทิ ทองคำหนักสูงสุด บาท และ iPad Pro สิทธิพิเศษนี้เฉพาะผู้ที่มาร่วมงานและ Walk-in เข้าชมห้องตัวอย่างในวันที่ 5-6 มีนาคมนี้ตลอดวัน ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมทาง https://bit.ly/3BSZE5N 

โดยห้องตัวอย่างที่เปิดให้ชม มีทั้งรูปแบบ 1 Bedroom 30.7 ตร.ม. และ 1 Bedroom Plus 34.7 ตร.ม. โดดเด่นด้วยการตกแต่งที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคนเมืองรุ่นใหม่ สไตล์ เริ่มจากสไตล์ Minimal Life มีสไตล์การตกแต่งที่เรียบง่าย แต่มากด้วยประโยชน์ใช้สอย มีรูปแบบที่เบาสบาย จัดวางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และอีกห้องคือสไตล์ Maximal Life ซึ่งนำสีสัน ลวดลาย และองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายเข้ามาผสมรวมกัน โดยนำเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งมาจัดวาง ให้รู้สึกถึงพลังงานที่เต็มเปี่ยม เติมเต็มความมีชีวิตชีวาให้กับที่อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น  

 

CARRO ยกระดับตลาดรถยนต์มือสอง ชู AI Car Inspection Analysis Platform

 


คาร์โร (CARRO) ผู้นำด้านการซื้อ-ขายรถยนต์มือสองบนแพลตฟอร์มออนไลน์ “ยูนิคอร์น” รายแรกของตลาดยานยนต์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการตรวจสภาพรถยนต์อัจฉริยะ หรือ AI Car Inspection Analysis Platform เพื่อการตรวจสภาพรถยนต์มือสองทั้งภายนอกและภายใน อย่างรวดเร็วและแม่นยำในตลาดรถยนต์มือสองของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับระบบนิเวศทางอุตสาหกรรมรถยนต์มือสอง หรือ Healthy ecosystem ของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำอย่างแท้จริง

โดย AI Car Inspection Analysis Platform จะทำหน้าที่ในการตรวจสภาพรถยนต์ที่ผสานเทคโนโลยี Big Data และ Imaging Technology ที่ใช้ในการตรวจจับสภาพรถยนต์ผ่านภาพถ่ายที่สามารถอัปโหลดเข้าสู่ระบบ Big Data ของคาร์โร ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์มือสองในทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ โดยระบบจะทำการประมวลและแสดงผลจุดตำหนิได้แบบทันที (Real time) ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการวิเคราะห์สภาพรถยนต์ให้กับ
ช่างผู้เชี่ยวชาญ เสมือนมีดวงตาอัจฉริยะอีกคู่นึง เพื่อการวิเคราะห์ราคารถยนต์แต่ละคันที่แม่นยำและรวดเร็วมากกว่าเจ้าอื่น ๆ ในตลาด

 

คุณ อรรณพ เกษตระทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาร์โร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่นับเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์มือสองในไทยครั้งนี้ว่า สิ่งที่คาร์โรต้องการคือการพัฒนา Healthy ecosystem ของอุตสาหกรรมรถยนต์มือสองในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยมีบริษัทฯ ไหนสามารถทำได้มาก่อน ผ่านการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศโดยองค์รวม โดยเฉพาะส่วนสำคัญอย่างการตรวจเช็กสภาพรถยนต์มือสอง ผ่านแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมในองค์รวมให้สามารถประเมินรถยนต์มือสองอย่างแม่นยำ รวดเร็ว และมอบประสบการณ์การซื้อ-ขายรถยนต์มือสองที่มีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจในการประเมินและตรวจเช็กสภาพรถยนต์ที่ยุติธรรมและแม่นยำ จนนำไปสู่การประเมินราคาที่โปร่งใสมากที่สุด รวมถึงทำให้ลูกค้าที่ต้องการซื้อรถยนต์มือสองจากคาร์โรสามารถมั่นใจในคุณภาพของรถทุกคันอีกด้วย

โดยคาดว่าแพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้คาร์โรสามารถประเมินรถยนต์มือสองได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นกว่า 40และจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้งานของพาร์ทเนอร์ที่ร่วมมือกับเราในการรับบริการตรวจสภาพรถยนต์
มือสอง อาทิ 
ค็อกพิท (COCKPIT) ให้มีมาตรฐานในการตรวจเช็กทั้งคุณภาพความแม่นยำ และความรวดเร็วได้ในระดับเดียวกันทั่วประเทศ” คุณอรรณพ กล่าวเสริม

สำหรับ AI Car Inspection Analysis Platform พัฒนาขึ้นโดยทีมเทคโนโลยีและทีมวิจัยของคาร์โรจากประเทศสิงคโปร์ โดยเริ่มต้นพัฒนามากว่า ปี ซึ่งประสบความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพทั้งความแม่นยำและความรวดเร็วในการตรวจเช็กสภาพรถยนต์ของทีมช่างผู้เชี่ยวชาญในประเทศสิงคโปร์ โดยพบว่าสามารถเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจเช็กสภาพรถยนต์มากยิ่งขึ้นกว่า 40%

สำหรับการพัฒนาขั้นตอนถัดไป คือการผสานเทคโนโลยี Pricing Algorithm หรือเทคโนโลยีการวิเคราะห์ราคาในถังข้อมูลขนาดใหญ่ของคาร์โร (Big Data) เพื่อการกำหนดราคาที่เป็นไปได้อย่างรวดเร็วที่สุดในภูมิภาค นอกจากนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวยังเป็นประโยชน์กับพาร์ทเนอร์ของคาร์โร ที่จะร่วมมือกันในการเป็นศูนย์ตรวจเช็กสภาพรถยนต์มือสองให้กับลูกค้าในอนาคตอีกด้วย

สำหรับลูกค้าที่ต้องการขายรถยนต์มือสองกับคาร์โร รวมถึงรับบริการและความสะดวกสบายในการซื้อ-ายรถยนต์มือสองแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นเข้าชมรถยนต์ นัดหมายเพื่อทดลองขับ หรือบริการสินเชื่อ และการประกันรถยนต์ ฯลฯ สามารถติดต่อได้ที่ https://th.carro.co หรือมาที่ คาร์โร ออโตมอลล์ (CARRO Automall) สาขาดอนเมือง และศูนย์บริการลูกค้า CARRO Customer Experience Center ทุกสาขา ทั้งสาขาเกษตร-นวมินทร์ โครงการ Motor Square สาขาโลตัส บางกะปิ สาขาโลตัส ศรีนครินทร์ สาขาโลตัส พระราม 1 หรือสาขาโลตัส บางใหญ่ หรือที่ Cockpit ที่ร่วมรายการได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-508-8425, Facebook: CARRO Thailand หรือ Line: @carrothai

“ไอซ์ ธมลวรรณ” เขินแฟนเพลงแซว เจ้าแม่ TikTok ประจำค่าย ปลื้ม “ยังเป็นฉันหรือเปล่า” ฮิต!!แรง ทุก Music Streaming

 


 เรียกได้ว่าเป็นศิลปินที่มีน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ ฟังกี่ครั้งก็เคลิ้ม สำหรับ ศิลปินสาวเสียงเท่จากเวที The Voice Thailand Season ไอซ์ ธมลวรรณ ที่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังมีซิงเกิลล่าสุด ยังเป็นฉันหรือเปล่า จากค่าย  YES i AM (เยสไอแอม)  ถือเป็นซิงเกิลเดี่ยวของตัวเองในรอบ 2 ปี ที่มาขยี้หัวใจคนที่กำลังสับสน และสงสัยว่าคนในใจเขา..ยังเป็นเราอยู่หรือเปล่านะ? โดยได้ เอก-สุดเขต จึงเจริญ หรือ เอก Season Five มาเขียนเนื้อร้องให้ ส่งให้เพลง ยังเป็นฉันหรือเปล่ ฮิตมาแรงเข้าไปอยู่ในชาร์ตเพลงของแพลตฟอร์มMusic Streaming รวมถึงฮิตยอดนิยมในแพลตฟอร์มTikTok  ขึ้นอันดับ    TikTok Weekly Music Chart เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอีกด้วย

         ไอซ์ ธมลวรรณ กล่าวว่า “ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณค่าย YES i AM  พี่ๆสื่อมวลชน ที่ช่วย              โปรโมทเพลง รวมถึงพี่ๆทีมงานทุกๆ  ที่ช่วยเหลือสนับสนุนไอซ์ทำให้มีซิงเกิลนี้ หลังจากที่ห่างหายไป ปี ตอนนี้เพลง ยังเป็นฉันหรือเปล่ กระแสตอบรับดีปลื้มใจสุด ติดชาร์ทในหลายแพลตฟอร์ม Music Streaming รวมถึงใน TikTok กระแสดีมากๆ ขึ้นอันดับ  4 TikTok  Weekly Music Chart เมื่อสัปดาห์ที่ผ่าน แฟนเพลงและชาวเน็ตแห่เข้ามาชมคลิปหลายแสน นอกจากนี้ TikToker หลายๆคน

ยังเข้าไปเล่นแคมเปญชาเลนจ์คัฟเวอร์ท่าเต้นด้วย รวมไปถึงยังนำเพลง ยังเป็นฉันหรือเปล่าไปคัฟเวอร์ครีเอทคอนเท้นต์ ถ่ายคลิปในแบบที่ตัวเองชอบด้วยแล้วแท็กลับมาด้วย ดีใจมากๆเลยค่ะ ก็มีแฟนเพลงเข้ามาแซวอนาคตไม่นานได้เป็นเจ้าแม่ TikTok  แน่ๆ (555) ก็แอบยอมรับเพราะตอนนี้ ก็ติดเล่น TikTok ไปเรียบร้อยแล้ว รู้สึกสนุก และเราก็สามารถสื่อสารกับแฟนเพลงได้อีกแบบก็ขอฝาก เพลง ยังเป็นฉันหรือเปล่า ไว้กับแฟนเพลงทุกคนด้วยนะคะ และฝากเพื่อนๆ  เข้าไปติดตาม TikTok  @icetamonwan กันอีกหนึ่งช่องทางค่ะ

            สามารถฟังเพลง ยังเป็นฉันหรือเปล่า ของศิลปินสาวเสียงดี “ไอซ์ ธมลวรรณ”                                      จากค่าย  YES i AM (เยสไอแอม)  ได้แล้ววันนี้ได้ที่ YouTube : iam official channel และ YouTube :Ice Tamonwan   https://youtu.be/Mfrdd02pwx4   และทุกแพลตฟอร์ม Music Streaming

#ยังเป็นฉันหรือเปล่า #ICETAMONWAN #IAMFAVE






ซัมซุงสนับสนุนผลงานศิลปะแบบ NFT จับมือศิลปินไทย “มุนินฺ” ร่วมสร้างสรรค์และจัดแสดงผลงาน ภายในนิทรรศการ B-SIDE Solo Exhibition By Munins

 


กรุงเทพฯ (28 กุมภาพันธ์ 2565) – ซัมซุงชวนทุกคนสัมผัสมุมมองใหม่ของการรับชมงานศิลปะแบบ NFT ผ่านการร่วมมือกับนักวาดการ์ตูนชื่อดัง มุนินฺ หรือ มุนินทร์ สายประสาท ในงานนิทรรศการ B-SIDE Solo Exhibition By Munins ที่เชื่อมโลกจริงกับโลกเสมือนเข้าด้วยกัน โดยภายในงานทุกท่านจะได้สัมผัสภาพวาดใบหน้าด้านข้างกว่า 100 ภาพผ่านลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินที่มาพร้อมสีสันและรายละเอียดอันคมชัดบนไลฟ์สไตล์ทีวีดีไซน์กรอบรูป อย่าง The Frame พร้อมอีกหนึ่งภาพวาดพิเศษที่สร้างสรรค์จากปลายปากกา S Pen ของแท็บเล็ตรุ่นล่าสุด Galaxy Tab S8 Ultra ที่จะเปิดให้ชมเฉพาะทาง Virtual Gallery เท่านั้น

 

ซัมซุง ถือเป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับโลกแห่งการสร้างสรรค์ พร้อมร่วมสนับสนุนและเป็นพันธมิตรกับศิลปิน แกลเลอรี และพิพิธภัณฑ์ระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสำหรับผลงานศิลปะแบบ NFT นับเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ได้รับการพูดถึงในวงกว้าง ด้วยความโดดเด่นของการทลายขอบเขตการเข้าถึงงานศิลปะ เพื่อให้คนจากทั่วทุกมุมโลกได้เห็นผลงานชิ้นเดียวกันได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม โดยมีเทคโนโลยีเป็นสื่อกลาง

 


นิทรรศการ B-SIDE Solo Exhibition By Munins คือความร่วมมือครั้งล่าสุดของซัมซุง กับการร่วมสนับสนุนทั้งในด้านการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะผ่านแท็บเล็ต Galaxy Tab S8 Ultra และการจัดแสดงผ่านหน้าจอทีวี The Frame เพื่อถ่ายทอดผลงานคอลเลคชันภาพพอร์เทรต ภายใต้คอนเซปต์ Only eyes can tell a story ที่มาพร้อมกับความตั้งใจที่จะแนะนำ NFT Arts (Non-Fungible Token Arts) ให้คนได้รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยงานดังกล่าวจะจัดทั้งในแบบออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อให้ทุกคนได้เต็มอิ่มกับงานศิลปะครั้งนี้กันได้อย่างเต็มที่


ซึ่งงานบนโลกจริง ณ Palette Artspace ซอยสุขุมวิท 55 ผู้เข้าชมจะได้ดื่มด่ำกับผลงานภาพวาดบนหน้าจอ The Frame ไลฟ์สไตล์ทีวีดีไซน์กรอบรูปสุดไอคอนิก ที่ออกแบบมาให้สามารถเปลี่ยนกรอบได้ตามสไตล์ของผู้ใช้และกลมกลืนไปกับการตกแต่งห้องอย่างลงตัวเสมือนภาพวาดในแกลเลอรี พร้อมให้ภาพสีสันสดใสสมจริงด้วยเทคโนโลยี QLED คมชัดระดับ 4K โดยไลฟ์สไตล์ทีวีรุ่นนี้ยังมาพร้อม Art Store ที่รวบรวมคอลเลคชันภาพงานศิลปะชั้นนำระดับโลกกว่า 4,000 ภาพ ซึ่งทำให้สามารถเปลี่ยนหน้าจอที่ว่างเปล่าให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น


นอกจากนี้ เมื่อวันงานเปิดตัวเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มุนินฺ ยังได้จัดกิจกรรมแจกลายเซ็นพร้อมภาพวาดให้เหล่าแฟนแบบเรียลไทม์ ผ่านการตวัดปากกา S Pen เวอร์ชันใหม่ของ Galaxy Tab S8 Ultra ลงบนหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 14.6 นิ้ว ที่มีขอบหน้าจอบางเพียง 6.3 มิลลิเมตร  โดยแท็บเล็ตรุ่นนี้ยังสามารถใช้งานแอปพลิเคชัน Clip Studio Paint เพื่อเปลี่ยนสมาร์ทโฟนซัมซุงให้กลายเป็นจานสีดิจิทัล S Pen ให้เป็นพู่กัน และหน้าจอขนาดใหญ่ของ Galaxy Tab S8 เป็นผืนผ้าใบ โดยผู้ใช้สามารถเลือกเครื่องมือและรูปแบบหัวแปรงได้ตามต้องการ รวมถึงยังสามารถเลือกสีมาใช้โดยดึงมาจากภาพจริงที่เซฟไว้ในสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย ซึ่งผลงานวาดภาพด้วย Galaxy Tab S8 Ultra นี้ นอกจากจะได้รับการส่งให้ผู้เข้าชมที่ใช้งานซัมซุง กาแลคซี่ทันทีผ่าน Quick Share แล้ว ยังจะถูกนำไปจัดแสดงใน Virtual Gallery ร่วมกับอีกหนึ่งภาพวาดพิเศษที่รอให้ทุกคนไปค้นพบในโลกเสมือนด้วยเช่นกัน

 


มุนินทร์ สายประสาท นักเขียน นักวาดการ์ตูน และเจ้าของสำนักพิมพ์ 10 มิลลิเมตร เจ้าของนามปากกา “มุนินฺ” ได้บอกเล่าถึงประสบการณ์การวาดภาพด้วย Galaxy Tab S8 Ultra ว่า จากที่ได้ลองใช้งานแท็บเล็ตรุ่นนี้ รู้สึกประทับใจใน S Pen มากค่ะ ด้วยความที่มุนินทร์มือเล็ก เลยชอบปากกาที่มีน้ำหนักเบาเวลาวาดภาพลงไปปากกาเขียนติดดี ลายเส้นปรากฏขึ้นทันทีแบบเรียลไทม์ และด้วยหน้าจอที่ใหญ่มากที่สุดที่เคยใช้มา ให้ความรู้สึกเหมือนทำงานบนจอคอมพิวเตอร์เพราะสามารถเห็นทุกอย่างได้อย่างเต็มตา ในด้านสีสันก็สดใสสมจริงมาก จนรู้สึกว่าช่วยสะท้อนพลังในการสื่อสารภาพวาดได้ดียิ่งขึ้น อย่างสุดท้ายคือเมื่อได้ทดลองใช้งานฟีเจอร์ Multi-active Windows ที่แบ่งหน้าจอออกเป็น ส่วน ทำให้เวลาทำงานข้ามแอปพลิเคชันง่ายมากขึ้นเยอะเลยค่ะ”

 

นิทรรศการ B-SIDE Solo Exhibition By Munins จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 ก.พ. - มี.ค. เวลา 10.00-20.00 น. ณ Palette Artspace ซอยสุขุมวิท 55 และในโลกเสมือน Virtual Gallery บนแพลตฟอร์ม Spatial.io https://spatial.io/rooms/62163f4096100100018475af?share=1853004531832520149


Brandverse ผนึกพันธมิตรธุรกิจ-การศึกษา-ภาครัฐ เปิดตัว "T-Verse" จักรวาลเชื่อมต่อเมต้าเวิร์ส ดัน ecosystem ไทยสู่ระดับโลก

 


            Brandverse พร้อมภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา และภาครัฐกว่า 50 องค์กร แถลงข่าวความร่วมมือพัฒนา Thailand Metaverse Ecosystem เปิดตัว “T-Verse : Thailand Multiverse Bridge Platform” จักรวาล Metaverse แห่งใหม่ของไทยสร้างโอกาสที่ไร้ขีดจำกัด ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เพื่อให้เป็นจักรวาลเชื่อมต่อทุก Metaverse เข้าหากันและเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนสินค้าบนโลกเสมือนจริง พร้อมขยายศักยภาพด้านเทคโนโลยีและธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรด้านเมต้าเวิร์สได้อีกมาก

 

            โดยภายในงาน เปิดตัว T-Verse : Thailand Multiverse Bridge Platform” เต็มไปด้วยกิจกรรมและเทคโนโลยีล้ำๆ ที่ชวนให้ผู้ร่วมงานได้หลุดเข้าสู่ T-Verse แบบไม่ทันตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็น Vision into T-Verse, Metaverse Onboarding by Brandverse, 3D Avartar Fashion Gallery, Digital Twin Photo Shoot, T-Verse NFT Art Limited Edition, Zipmex Digital Assets Space และ 88 Sandbox by Thammasat University เป็นต้น

 

            สำหรับการสร้าง T-Verse หรือจักรวาล Metaverse ของไทยในครั้งนี้ เป็นการสร้าง Thailand Multiverse Bridge Platform นำโดย Brandverse ผู้ออกแบบและให้บริการด้าน Metaverse อย่างครบวงจร และพัฒนา T-Verse ด้วยการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยให้ออกมาเป็น Multiverse แบบฉบับไทยแลนด์ พร้อมผนึก Verse ต่างๆ จากทุกวงการให้เชื่อมกันแบบไร้รอยต่ออย่าง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  สร้างการเรียนการสอนขึ้นจริงบนจักรวาลเสมือนแห่งนี้ พร้อมเติมเต็ม Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วย Verse จากพาร์ทเนอร์ธุรกิจชั้นนำของไทย อาทิ 7-Eleven, เซ็นทรัลพัฒนาช่อง3พลัสเด็นโซ่ธรรมนิติดีวาน่าแกรมมี่เคบีทีจีธนาคารกรุงศรีอยุธยามิลล์คอนเงินติดล้อดีแลนด์จีซีโออาร์พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคเอสซี แอสเสทสยามพิวรรธน์ไทยรัฐเดอะมอลล์ กรุ๊ปวัตสันซิปเม็กซ์ และอีกทุกกลุ่มธุรกิจมากมายรวมกว่า 50 องค์กร รวมถึงภาครัฐ อาทิ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หวังให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตบน T-Verse ได้เสมือนจริงมากที่สุด

 

นายณัฐเศรษฐ์  ไตรทิพย์เจริญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แบรนด์เวิร์ส  จำกัด เปิดเผยถึงภารกิจที่ท้าทายในการสร้าง T-Verse ว่า T-Verse จะเป็นจักรวาลของ Metaverse ที่เชื่อมทุกคนและทุก Verse เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจ สร้างอาชีพ และสร้างโอกาสใหม่ๆ

 

ปัจจุบันการแข่งขันทางการค้าและการบริการภายใต้บริบทใหม่ของโลก เทคโนโลยีและนวัตกรรมคือปัจจัยสำคัญ Brandverse รับอาสาพาธุรกิจและองค์กรทุกภาคส่วนของไทย ก้าวเข้าไปสู่โลกเสมือนจริงให้ประสบความสำเร็จด้วยกัน จึงผุดแนวคิดในการสร้าง T-Verse ขึ้นมา โดยได้รับความร่วมมือจากพาร์ทเนอร์ทุกวงการธุรกิจ รวมถึงภาคการศึกษามาช่วยเติมเต็ม Verse ให้เชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อ เชื่อมั่นว่านี้จะเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของไทยที่จะช่วยไสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ดี ทำให้เกิดเป็น Thailand Metaverse Ecosystem ขึ้นมา จนสามารถยกระดับศักยภาพไทยในการแข่งขันระดับโลกได้”

 

            ด้านมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “เรากำลังวางแผนจะเปิดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ที่ 5 นั้นก็คือ “Thammasat Metaverse” โดยมองว่า Metaverse มีประโยชน์มากมายในการเรียนรู้ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ และการแพทย์ อีกทั้งยังทำให้เกิดการเรียนรู้แบบ Anywhere Anytime ซึ่งจะยิ่งตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน คือธรรมศาสตร์เพื่อประชาชน ซึ่งใน Thammasat Metaverse จะเปิดการเรียนการสอนให้ทุกคนที่มีความต้องการเรียนรู้ในศาสตร์ใหม่ๆ ลดความเหลื่อมล้ำให้แก่ผู้สนใจ เพราะฉะนั้นเครือข่ายพันธมิตรของ T-Verse จะช่วยทำให้ Thammasat Metaverse มีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ขึ้น สามารถสร้างองค์ความรู้ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนทุกระดับ อย่างไร้ข้อจำกัด ไร้พรมแดน”

 

ทั้งนี้ T-verse ถูกออกแบบใน concept ของจักรวาลที่มีวงโคจร 13 วงโคจร เกิดเป็นดวงดาว (Verse) ทั้งสิ้นกว่า 985 ดวง และสร้างให้เกิด community ใหม่ขึ้นมา เป็นพื้นที่ในการสร้างโอกาสครั้งใหม่ของทุกๆคน เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในรูปแบบ 3D Avatar ตามคอนเซ็ปท์ Social Shop Play Work Learn อย่างไร้พรมแดน อีกทั้งโครงการ T-Verse ยังมองถึงความยั่งยืนด้วยการสร้าง Brandverse Academy เพื่อตอบโจทย์การพัฒนา  Future skill ให้แก่ผู้ที่สนใจและเป็นพื้นฐานของการพัฒนาประเทศต่อไป

 

มาร่วมกันสร้างรากฐานและขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจดิจิทัลของไทย เติบโต แข่งแกร่งในโลกแห่งอนาคตใบใหม่ นี้ไปพร้อมกัน อนาคตเริ่มต้นที่นี่ Let’s #VerseTogether

 

กลุ่มอาสาสมัครจากอโกด้าร่วมทำกิจกรรมสนับสนุนการท่องเที่ยววิถีชุมชนที่ชุมชนตลาดน้อย กรุงเทพมหานคร

 


กรุงเทพฯประเทศไทย – 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 – ตลาดน้อยเป็นชุมชนเก่าแก่ที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ ย่านนี้มีทั้งร้านกาแฟ บาร์ และร้านค้าในชุมชนมากมาย ซึ่งเปิดกิจการเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับสู่บรรยากาศอันคึกคักของกรุงเทพ ในโอกาสนี้ แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวชั้นนำอย่างอโกด้าจึงได้นำอาสาสมัครที่มีทักษะความรู้ด้านต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการในย่านตลาดน้อย

 

กิจกรรมนี้จัดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 22 และวันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ซึ่งเปิดโอกาสให้พนักงานอโกด้าได้ทำกิจกรรมอาสาสมัครด้วยการแบ่งปันทักษะและความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี การถ่ายภาพ การตลาด และการออกแบบ รวมถึงช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับรากฐานในประเทศไทยผ่านความร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและ ไฮฟ์สเตอร์ซึ่งเป็นบริษัทท่องเที่ยวที่มีเป้าหมายในการอนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรมไทยโดยการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละท้องถิ่น

 

นายเกรก หว่องกรรมการผู้จัดการอโกด้า กล่าวว่า “ธุรกิจในอุตสาหกรรมการบริการด้านการท่องเที่ยวนั้นยังคงมีความสามารถในการปรับตัว และพร้อมที่จะมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีที่สุดเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับมา ด้วยเหตุนี้ ทีมงานของอโกด้าในกรุงเทพฯ จึงมีความคิดที่จะใช้ทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ที่หลากหลายเพื่อให้คำแนะนำ การสนับสนุน และแนวคิดต่างๆ ที่จะช่วยให้กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลางในตลาดน้อยเติบโตอย่างเฟื่องฟู”

 

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทรรองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “ททท. รับนโยบายปีท่องเที่ยวไทย 2565 (Visit Thailand Year 2022 : Amazing New Chapters) เดินหน้าฟื้นฟูการท่องเที่ยวภายในประเทศให้กลับมาอย่างแข็งแรงและยั่งยืน ตามแผนเศรษฐกิจ BCG Model โดย พลิกโฉมการนำเสนอการท่องเที่ยวของไทยในหลายมิติ การประยุกต์การบริการให้เข้ากับเทคโนโลยีก็เช่นกัน จะเป็นเน้นการสร้างประสบการณ์ ทำการตลาดแบบ Story Telling นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวผ่านเรื่องเล่าเพื่อกระตุ้นการเดินท่องเที่ยวภายในประเทศภายใต้แคมเปญ “เที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม” มุ่งเน้นให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่าเหนือราคา ทั้งยังส่งเสริมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย อาทิ การท่องเที่ยวชุมชน ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เชิงวัฒนธรรม และในครั้งนี้ ททท.ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ อโกด้า ร่วมกันพัฒนา Supply Side ซึ่งเปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย สังคมและเศรษฐกิจ ตลอดจนต่อยอดยกระดับการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนตลาดน้อยให้พร้อมรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศในอีกด้านหนึ่งด้วย”

 

พนักงานอโกด้าทั่วโลกจะได้รับวันหยุดสำหรับทำกิจกรรมอาสา ซึ่งพนักงานจะยังได้รับค่าจ้างตามปกติในวันดังกล่าว โดยสามารถทำกิจกรรมอาสาสมัครกับองค์กรการกุศลและองค์การนอกภาครัฐต่างๆ ที่ไม่แสวงผลกำไร ซึ่งกิจกรรมที่ผ่านมามีทั้งการปลูกต้นไม้ในเชียงใหม่ โครงการ #MyPledge ทำความสะอาดชายหาดในฮ่องกง สิงคโปร์ ประเทศไทย และอินโดนีเซีย และกิจกรรม Giving Tuesday ในอเมริกาเหนือ

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ ไอคอนคราฟต์ ตอกย้ำมุ่งมั่นพัฒนา ศักยภาพคนรุ่นใหม่ จัดนิทรรศการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกาย วันนี้ – 7 มีนาคม 2565 ณ ไอคราฟต์ ชั้น 4 ไอคอนสยาม


 กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย  ร่วมกับ  ไอคอนคราฟต์  เชิดชูผู้ประกอบการไทยต่อยอดความสำเร็จจากการจัดทำ “โครงการพัฒนาต่อยอดด้านการตลาดจาก “ดอนกอยโมเดล” สู่ตลาดสากลโครงการส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกาย Young OTOP และ โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกายให้เป็น Premium OTOP”  ทางกรมการพัฒนาชุมชน จึงดำเนินการจัดนิทรรศการ “กิจกรรมที่ 1 พัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกายให้เป็น Premium OTOP”  ตั้งแต่วันนี้ – 7 มีนาคม 2565 ณ ไอคอนคราฟต์ ชั้น 4 ไอคอนสยาม เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทดลองขายผลิตภัณฑ์ผ่าน LIVE  และพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกายให้เป็นผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยม ให้เป็นที่ต้องการของตลาดจนเกิดการพัฒนาและยกระดับศักยภาพผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ในการพัฒนาผ้าไทย อัตลักษณ์ มรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา การออกแบบลายผ้า การทอผ้า การย้อมสีธรรมชาติ เทคนิคการทอลายต่าง ๆ  นำไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์ Premium OTOP สู่สากล เพื่อให้การดำเนินงานโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

 

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการจัดทำ “โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกายให้เป็น Premium OTOP กิจกรรมที่ ๑ พัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกายให้เป็น Premium OTOP” ว่า เพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกายให้เป็นผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยม ให้เป็นที่ต้องการของตลาดจนเกิดการพัฒนาและยกระดับศักยภาพผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ในการพัฒนาผ้าไทย อัตลักษณ์ มรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา การออกแบบลายผ้า การทอผ้า การย้อมสีธรรมชาติ เทคนิคการทอลายต่าง ๆ  นำไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์ Premium OTOP สู่สากล โดยผู้เชี่ยวชาญดำเนินการออกแบบแนวคิดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่จะจูงใจและเกิดประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วมโครงการจนบรรลุเป้าประสงค์ในการดำเนินโครงการฯ และกำหนดแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนครอบคลุมเป็นรูปธรรมและปฏิบัติได้จริง เพื่อให้การดำเนินงานโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ด้านนายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย  กล่าวเพิ่มว่า  “สำหรับโครงการนี้ มีการประชาสัมพันธ์โครงการผ่านสื่อออนไลน์และออฟไลน์ และมีการจัดทำดิจิตอลแค็ตตาล็อกในรูปแบบของนิตยสารแฟชั่น โดยผ่าน QR Code เรื่องราวการสร้างสรรค์ 250 ผลิตภัณฑ์ เพิ่มคุณค่าและมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย รายละเอียดข้อมูลภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ถ่ายทอดเรื่องราวที่เข้าใจง่าย สนับสนุนการขายสินค้า มีภาพถ่ายสินค้าต้นแบบและจัดวางรูปเล่มในรูปแบบนิตยสารแฟชั่นที่ทันสมัย ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย และมีข้อมูล ชื่อคอลเลคชั่น แรงบันดาลใจ ข้อมูลผู้ประกอบการและช่องทางการติดต่อ เพื่อสนับสนุนการขายผ่านระบบ Online และ E-Commerceโดยหวังว่า โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกายให้เป็น Premium OTOP  จะช่วยให้ผู้ประกอบการทั้งหมดมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและต่อยอดการทำผลิตภัณฑ์ได้อย่างยั่งยืน”

 

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีนิทรรศการ “โครงการพัฒนาต่อยอดด้านการตลาดจาก “ดอนกอยโมเดล” สู่ตลาดสากล และ โครงการส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกาย Young OTOP โดยผู้สนใจสามารถเข้าร่วมชมนิทรรศการ พร้อมร่วมช้อปกับพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกายทั้งสามโครงการ ได้ตั้งแต่วันนี้ – 7 มีนาคม 2565 ณ ไอคอนคราฟต์ ชั้น 4 ไอคอนสยาม สอบถามเพิ่มเติม โทร.1338 หรือ FB: ICONCRAFT

“ณภัทร” คว้าแชมป์ โตโยต้า ไทยแลนด์ ลองไดร์ฟ แชมเปี้ยนชิพ 2024 พร้อมลุยศึกชิงแชมป์โลกที่สหรัฐฯ

  24  เมษายน  2567 -  ณภัทร แซ่ลิ้ม โชว์พลังหวด  365.7  หลา คว้าแชมป์  “ โตโยต้า ไทยแลนด์ ลองไดร์ฟ แชมเปี้ยนชิพ  2024”  รอบชิงชนะเลิศ ที่สนา...