วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2564

จับตา KASHJOY สินเชื่อน้องใหม่จาก KB J Capital แบรนด์ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ พร้อมตีตลาดสินเชื่อนอนแบ็งก์ไทย เปิดตัวในงาน Money Expo 2021 เป็นครั้งแรก พิเศษลุ้นรับของรางวัลพรีเมียมในงาน 23 - 26 ธันวาคม 2564 ฮอลล์ 9-12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

 


  • Kashjoy แบรนด์สินเชื่อใหม่โดย เคบี เจ แคปปิตอล ก่อตั้งโดย KB Kookmin Card บริษัทบัตรเครดิตยักษ์ใหญ่แห่งเกาหลีใต้ และ JAYMART โฮลดิ้งคอมพานีระดับโลก
  • ทุ่มงบ 650 ล้านบาท หวังรุกตลาดสินเชื่อไทย ครองใจคนทำงานด้วยบริการสินเชื่อที่สะดวกสบายและรวดเร็วแบบ Non-banking Loan
  • ตอบโจทย์โดนใจด้วย 4 บริการทางการเงินซึ่งคิดค้นเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจและการใช้ชีวิตยุคใหม่อย่างลงตัว สามารถยื่นกู้ได้สะดวกรวดเร็วกว่าด้วยระบบ
  • เตรียมปักหมุดบูธ Kashjoy ในงาน “Money Expo 2021 มหกรรมการเงินครั้งที่ 21” วันที่ 23 - 26 ธันวาคม 2564 ฮอลล์ 9-12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
กรุงเทพฯ 24 ธันวาคม 2564 - บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด (KB J Capital Co.,Ltd.) เปิดตัว “Kashjoy” ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่เพื่อนักลงทุนและลูกค้าบุคคลทั่วไปในเมืองไทย คาดได้กระแสตอบรับดีเยี่ยมด้วย 6 บริการทางการเงินซึ่งคิดค้นเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจและการใช้ชีวิตยุคใหม่อย่างลงตัว สามารถยื่นกู้ได้สะดวกรวดเร็วกว่าด้วยระบบ Non-banking Loan โดย เคบี เจ แคปปิตอล เตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ บูธ Kashjoy หมายเลข K8 ในงาน “Money Expo 2021 มหกรรมการเงินครั้งที่ 21” ตั้งแต่วันที่ 23 - 26 ธันวาคม 2564 ฮอลล์ 9-12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

เคบี เจ แคปปิตอล เกิดจากการผนึกกำลังของ 2 บริษัทการเงินยักษ์ใหญ่คือ KB Kookmin Card บริษัทบัตรเครดิตเจ้าตลาดแห่งเกาหลีใต้ และ JAYMART โฮลดิ้งคอมพานีระดับโลก โดยดำเนินธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลในประเทศไทยผ่านกลุ่มบริษัทเจมาร์ท
นายวอนซอค จ็อง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด (Mr.Wonsuk Jung Chief Executive Officer, KB J Capital co.,ltd.) กล่าวว่า “เคบี เจ แคปปิตอล พร้อมให้บริการสินเชื่อหลากรูปแบบแก่ลูกค้าในประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้ชีวิตยุคใหม่ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ผ่านการผสานจุดแข็งทางการเงินของ KB Kookmin Card ผู้ดำเนินธุรกิจเครดิตการ์ดชั้นนำในเกาหลีใต้มานานกว่า 30 ปี ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ และมีฐานการดำเนินงานทั้งในเกาหลีใต้ กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย และเมียนมาร์ มีความมั่นคงสูงด้วยทรัพย์สินรวมมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงที่สุดในเกาหลีใต้ ส่วนกลุ่มบริษัท Jaymart ปัจจุบันได้ยกระดับเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่มีฐานการดำเนินงานในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยในฐานะผู้จัดจำหน่ายสินค้าสมาร์ตโฟนภายใต้แบรนด์ Jaymart Mobile และผู้ให้บริการสินเชื่อในนาม JMT”
“Kashjoy” โดยบริษัทเคบี เจ แคปปิตอล นำเสนอบริการสินเชื่อหลัก 4 รูปแบบ ได้แก่
1)    บัตรกดเงินสดแคชจอย อีซี่
2)    สินเชื่อส่วนบุคคลแคชจอย
3)    สินเชื่อรถยนต์แคชจอย
4)    สินเชื่อผ่อนมือถือแคชจอย

ทั้งหมดถือเป็นกลุ่มบริการสินเชื่อซึ่งเป็นที่ต้องการของลูกค้าในปัจจุบันอย่างมาก และเมื่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลง เคบี เจ แคปปิตอล จึงได้พัฒนาการให้บริการสินเชื่อ ได้แก่ บัตรกดเงินสดแคชจอย อีซี่ วงเงินพร้อมใช้ เพื่อมอบประโยชน์ที่คุ้มค่าแก่ลูกค้าด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% ใน 30 วันแรกหลังอนุมัติ ปลอดค่าสมาชิกและค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย

“ตลาดสินเชื่อผู้บริโภคในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วเฉลี่ย 8% ต่อปี โดยเฉพาะตลาดกลุ่มนอนแบงก์ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงกว่า 10% ด้วยมูลค่าตลาดปัจจุบันราว 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งนับว่ามีอัตราการเติบโตส่วนสูงกว่าในเกาหลีใต้ และด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เราคิดค้นใหม่เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทยได้อย่างตรงจุด ทำให้เรามั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมทั้งจากกลุ่มนักลงทุนและลูกค้าทั่วไป โดยบริษัทฯ จะมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำตลาดสินเชื่อไทยในอนาคต” นายวอนซอค จ็อง กล่าว

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สินเชื่อภายใต้แบรนด์ “Kashjoy” และข่าวสารโปรโมชันต่าง ๆ ผ่านทางเว็บไซต์ www.kbjcapital.co.th และเฟซบุ๊ก KashjoyOfficial หรือโทรติดต่อสายด่วน 1258 

Prime Minister's Digital Awards 2021 รางวัลทรงเกียรติจากนายกรัฐมนตรี แด่ผู้พัฒนาที่มีความโดดเด่นทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี เปิดรับสมัครแล้ววันนี้

 


29 ธันวาคม 2564, กรุงเทพมหานคร - สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทั เปิดรับสมัครผู้มีผลงานสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเข้ารับรางวัลเกียรติยศจากนายกรัฐมนตรี Prime Minister's Digital Awards 2021 รางวัลเชิดชูเกียรติที่มอบให้แก่ผู้ที่มีผลงานดีเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของประเทศไทย ประจำปี 2564 โดยเปิดรับสมัครแล้ววันนี้ - 14 มกราคม 2565 ผ่าน เว็บไซต์ https://hackathailand.com/pm-awards/

 

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทั หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ดีป้า ร่วมพิจารณาตัดสินผู้ที่มีผลงานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเป็นที่ประจักษ์ และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ เพื่อเข้ารับรางวัลเกียรติยศแห่งวงการเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลไทย Prime Minister's Digital Awards จาก นายกรัฐมนตรี มาอย่างต่อเนื่อง

 

โดยความพิเศษในปีนี้ ดีป้า ขานรับนโยบายจาก นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ถึงการส่งเสริมการพัฒนากลุ่มคนรุ่นใหม่และบุคคลทั่วไปให้มีความตระหนัก เตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการไทย สามารถเติบโตและประสบความสำเร็จในธุรกิจ ซึ่งรางวัล Prime Minister's Digital Awards 2021 เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่การันตีถึงศักยภาพและความสำเร็จของบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN Digital Hub)

 

 รางวัล Prime Minister’s Digital Awards 2021 เป็นรางวัลอันทรงเกียรติจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มอบให้เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติบุคลากรในสายเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลที่มีผลงานดีเด่นในด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นอีกแนวทางที่สนับสนุนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของกลุ่มคนรุ่นใหม่และบุคคลทั่วไปต่อยอดโอกาสทางการแข่งขัน และประสบความสำเร็จในธุรกิจ พร้อมเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนเห็นถึงศักยภาพและความสำเร็จของคนไทย สามารถเป็นแบบอย่างและสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเอง อันจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ รองรับการเข้าสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

 

รางวัล Prime Minister’s Digital Awards 2021 เปิดรับสมัคร และรับการเสนอชื่อผู้มีคุณสมบัติในการสร้างสรรค์ผลงาน ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลใน 5 ด้านสำคัญ ประกอบด้วย 1. Digital Youth of the Year เป็นผู้ที่มีการพัฒนาผลงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล อันนำมาซึ่งการแก้ปัญหาและช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับสังคม ระหว่างที่ศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษา 2. Digital Startup of the Year ดิจิทัลสตาร์ทอัพที่มีแนวคิดในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงานหรือให้บริการที่โดดเด่น และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ที่มีผลทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น 3. Digital Entrepreneur of the Year มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการจนสร้างความตระหนักในวงกว้าง 4. Digital Community of the Year เป็นผู้มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการทำงานภายในชุมชนจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ที่สามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น และ 5. Digital Organization of the Year องค์กรภาครัฐหรือภาคเอกชนที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงานหรือให้บริการจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ว่าช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น

 

ทั้งนี้ ดีป้า ได้ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขาร่วมพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับรางวัลดังกล่าว เพื่อให้มีความเหมาะสมและเป็นไปตามเกณฑ์การพิจารณา ซึ่งพิธีมอบมอบรางวัล Prime Minister’s Digital Awards 2021 จะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในงาน HACKaTHAILAND โดยมี พลเอก ประยุทธ์ เป็นผู้มอบรางวัล ณ สวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565

 

ผู้ที่สนใจส่งผลงานด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล หรือประชาชนทั่วไปสามารถเสนอชื่อผู้มีคุณสมบัติเข้ารับรางวัล Prime Minister’s Digital Awards 2021 ได้แล้วที่ https://hackathailand.com/pm-awards/  ตั้งแต่วันนี้ - 14 มกราคม 2565


depa MOU MI มุ่งส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ครอบคลุม 6 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง สร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน

 


29 ธันวาคม 2564กรุงเทพมหานคร – สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depaจับมือ สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (MI) ลงนามความร่วมมือบันทึกความเข้าใจ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล มุ่งยกระดับเศรษฐกิจและสังคม ขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สู่ความแข็งแกร่งใน 6 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

 

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) พร้อมด้วย นายสุริยัน วิจิตรเลขการ ผู้อำนวยการบริหาร สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute : MI) ร่วมลงนามความร่วมมือบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยีนวัตกรรมดิจิทัล มุ่งยกระดับเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-region, GMS) โดยมี นายพรชัย หอมชื่น ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ depa และ นางสาวพรวิไล ภูมิรา Partnership and Resource Mobilization Manager, MI ร่วมเป็นสักขีพยาน

 

ดร.ณัฐพล กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ประกอบด้วย ไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมหาแนวทางในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และนวัตกรรมด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จ ขยายผลสู่การพัฒนาขีดความสามารถในระดับอนุภูมิภาค รวมถึงต่อยอดองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมดิจิทัลผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการนำความรู้และเทคโนโลยีดิจิทัลไปประยุกต์ใช้ให้เกิดการพัฒนาอย่างกว้างขวางสู่การปฏิบัติที่มุ่งเน้นให้เกิดผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม ช่วยขับเคลื่อนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

 

ความร่วมมือที่เกิดขึ้นถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการทำงานแบบบูรณาการ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อแสดงถึงเจตจำนงที่เห็นพ้องต้องกันที่จะร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล อีกทั้งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของระบบนิเวศอุตสาหกรรมดิจิทัล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในการก้าวเข้าสู่ยุคสังคมดิจิทัลสมัยใหม่ สู่ความแข็งแกร่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

 

ด้าน นายสุริยัน กล่าวว่า สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง ดำเนินงานภายใต้กรอบ 3 ด้าน คือ 1. การพัฒนาทางการเกษตรและการพาณิชย์ (Agricultural Development and Commercialization) 2. การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน (Trade and Investment Facilitation) และ 3. พลังงานและนวัตกรรม สิ่งแวดล้อม (Sustainable Energy and Environment) โดยมุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเสริมสร้างศักยภาพในการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ตลอดจนขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ ให้แก่กลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง พร้อมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจการค้าชายแดน

 

ทั้งนี้ ข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ระบุ การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนกันยายน 2564 มีการส่งออกแล้ว 778,367 ล้านบาท ขยายตัว 38.06% ส่วนมูลค่าการค้ารวมทั้งส่งออกและนำเข้า 9 เดือนแรกของปี 2564 มีมูลค่า 1,275,542 ล้านบาท โดยกระทรวงพาณิชย์ ตั้งเป้าปี 2564 การค้าชายแดนและผ่านแดน ขยายตัว 3%  คิดเป็นมูลค่า 789,198 ล้านบาท

 

แบรนด์ซุปไก่สกัด ทุ่มงบกว่า 6 ล้าน เติมพลังฮึบทั่วไทย ผ่านแคมเปญ “ขับขี่ปลอดภัย ง่วงไม่ขับ พักดื่มแบรนด์” ปีที่ 14 เดินหน้ารณรงค์ลดอุบัติเหตุบนท้องถนนช่วงเทศกาลปีใหม่

 


แบรนด์ซุปไก่สกัด ผนึกกำลัง “ตำรวจ ทางหลวง” เดินหน้ารณรงค์ลดอุบัติเหตุบนท้องถนนช่วงเทศกาลปีใหม่และวันหยุดยาวผ่านแคมเปญ “ขับขี่ปลอดภัย ง่วงไม่ขับ พักดื่มแบรนด์” ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 ส่งความห่วงใย พร้อมเติมพลังฮึบให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนด้วยการแจกผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัดจำนวน 45,000 ขวด พร้อมคูปองส่วนลดซื้อผลิตภัณฑ์แบรนด์ ณ ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น (7-Eleven) และจิฟฟี่ (Jiffy) ที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับร่างกายก่อนขับขี่ทางไกล ณ บริเวณจุดบริการทางหลวงในเส้นทางที่มีการสัญจรหนาแน่นจำนวน 8 จุดทั่วประเทศในระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ถึง 3 มกราคม 2565 พร้อมกันนี้ยังได้ร่วมกับ “พีทีที สเตชั่น” จัดโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้ที่เติมน้ำมันชนิดใดก็ได้ครบ 100 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ จะได้รับคูปองส่วนลดมูลค่ารวม 117 บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดแลกซื้อผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ ที่ร่วมรายการ ณ ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น และ  จิฟฟี่ (Jiffy) ที่สถานบริการ พีทีที สเตชั่น จนถึงวันที่ มกราคม 2565

พลตำรวจตรี เอกราช ลิ้มสังกาศ  ตำแหน่ง ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง กล่าวว่า “ด้วยปัจจุบันสถานการณ์คลายล็อคดาวน์ที่ผ่อนคลายลง ประชาชนส่วนใหญ่จึงเลือกใช้การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวในการท่องเที่ยว และกลับภูมิลำเนา ภารกิจหลักของตำรวจทางหลวง คือ รักษาความสงบเรียบร้อย และอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนที่สัญจรไปมาบนทางหลวงแผ่นดินนอกเขตกรุงเทพมหานคร และทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองที่มีระยะทางรวมกว่า 20,000 กิโลเมตร โดยในทุกๆ ปีจะมีอยู่ 2 ช่วงที่การสัญจรบนท้องถนนค่อนข้างหนาแน่น ได้แก่ ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และเทศกาลสงกรานต์ ด้วยเหตุนี้ เพื่อดูแลผู้ใช้รถใช้ถนนให้ได้รับความสะดวกและเดินทางสู่จุดหมายอย่างปลอดภัย กองบังคับการตำรวจทางหลวงจึงได้มีการวางแผนดำเนินงานเชิงรุกด้วยการวางมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกัน และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการกวดขันให้ผู้ขับขี่ทั้งรถส่วนตัว และรถโดยสารประจำทางให้ปฏิบัติตามกฎจราจรโดยเคร่งครัด อาทิ การใช้ความเร็วตามที่กำหนด การคาดเข็มขัดนิรภัย งดใช้โทรศัพท์มือถือ และไม่ขับรถขณะเมาสุรา เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะมีมาตรการบังคับใช้แล้ว ยังต้องมีการกระตุ้นเตือนปลูกจิตสำนึกให้กับผู้ขับขี่ รับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สิน ของตนเองและเพื่อนร่วมทาง อาทิ ง่วงไม่ขับ การเปิดไฟหน้าในเวลากลางวัน และอีกหลากหลายวิธี ผ่านกิจกรรมรณรงค์ในรูปแบบต่างๆ” ในปีนี้ ตำรวจทางหลวงยังคงได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ซุปไก่สกัด ต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 ในการรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยภายใต้แคมเปญ “ขับขี่ปลอดภัย ง่วงไม่ขับ พักดื่มแบรนด์” ด้วยการรับมอบผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัดจำนวน 45,000 ขวด เพื่อแจกให้กับประชาชนที่ต้องเดินทาง หรือขับรถทางไกลในช่วงเทศกาลปีใหม่ ได้บูสพลังกาย เติมพลังใจ เพิ่มความพร้อมให้กับร่างกายในการขับขี่ปลอดภัย โดยได้จัดจุดรณรงค์ให้ผู้ขับขี่แวะพักรับแบรนด์ซุปไก่สกัดในเส้นทางที่มีการสัญจรหนาแน่นจำนวน ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ถึง มกราคม 2565

คุณอรญา หอมเศรษฐี ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท แบรนด์ ซันโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงที่มาในการ สานต่อแคมเปญฯ ว่า “ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะถึงนี้ หลายๆคนวางแผนขับรถกลับบ้านไปหาครอบครัว หรือออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆกันมากขึ้น จากข้อมูลสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนทางหลวงของประเทศไทย พบว่า อัตราการเกิดมักจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลสำคัญและวันหยุดยาว เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการใช้รถในการเดินทางเป็นจำนวนมากทำให้ต้องใช้เวลาในการขับขี่ยาวนานมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ขับขี่มีอาการเหนื่อยล้าจากการขับต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเพลียและหลับใน นำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ในที่สุด แบรนด์ซุปไก่สกัดจึงขอเป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่ม ที่ช่วยเติมพลังฮึบก่อนขับรถทางไกลให้ผู้ขับขี่คลายความเหนื่อยล้า ทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมเดินทางขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และอย่าลืมปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ด้วยการรักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือให้สะอาดเพื่อความปลอดภัยตลอดการเดินทางค่ะ” 

 

“ด้วยความมุ่งมั่นสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมไทยอย่างยั่งยืนภายใต้ค่านิยม “Giving back to society” แบรนด์ซุปไก่สกัด จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างการรับรู้ ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน บริษัทฯ จึงได้ร่วมกับ “ตำรวจทางหลวง” สานต่อแคมเปญ “ขับขี่ปลอดภัย ง่วงไม่ขับ พักดื่มแบรนด์” ในช่วงเทศกาลปีใหม่พร้อมกันนี้ยังได้ร่วมมือกับ พันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ผู้ให้บริการสถานีบริการพีทีที สเตชั่น ที่ให้การสนับสนุนด้วยการให้บริการสถานที่ในกว่า 1,900 สาขาทั่วประเทศ สำหรับให้ผู้ขับขี่สามารถแวะพักระหว่างการเดินทาง รวมทั้งยังได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด เพื่อรณรงค์โครงการฯ ผ่านสื่อต่าง ๆ บริเวณร้านสะดวกซื้อ ในสถานีบริการพีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการ”


คุณพีระวัฒน์ วชิโรภาสนันท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ กล่าวว่า “ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ นอกจากการให้บริการเติมน้ำมันคุณภาพจากสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น แล้ว โออาร์ขอร่วมสนับสนุนแคมเปญ “ขับขี่ปลอดภัย ง่วงไม่ขับ พักดื่มแบรนด์” เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการช่วยลดอุบัติเหตุอันเกิดจากการเดินทางสัญจรไปมาบนทางหลวงตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ด้วยการจัดจุดพักรถเพื่อให้ประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนสามารถหยุดพักการเดินทาง หากเกิดอาการง่วงหรือเหนื่อยล้าจากการขับขี่ โดยสามารถแวะพัก รวมถึงใช้บริการร้านค้า ร้านอาหาร และร้านสะดวกซื้อได้ที่สถานีบริการพีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการทั่วประเทศ ซึ่งทุกหน่วยบริการมีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ยังได้เตรียมจัดโปรโมชันพิเศษ เพียงเติมน้ำมันชนิดใดก็ได้ที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ครบ 100 บาทขึ้นไป ต่อใบเสร็จ จะได้รับคูปองรวมมูลค่า 117 บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดเมื่อซื้อผลิตภัณฑ์แบรนด์ที่ร่วมรายการ ณ ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ สาขาที่อยู่ในสถานีบริการน้ำมัน ระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ถึง มกราคม 2565

กลัฟ คณาวุฒิ ควง หมอช้าง ลุยโปรเจ็กต์สุดปังส่งท้ายปี กับแคมเปญ “คาถาโอเกะ by อ.ช้าง” เพิ่มความเฮงรับปีใหม่ !!

 


กรุงเทพฯ 29 ธันวาคม 2564 – ถือเป็นอีกปีเฮงของทั้ง กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์และ อ. ช้าง ทศพร ศรีตุลา ที่เรียกว่าไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ทั้ง คน นี้ก็ยังคงฮอตฮิตติดลมบน สำหรับหนุ่มกลัฟ ก็กำลังรุ่งเรื่องงานแสดงที่กำลังไปได้ดี ส่วน อ.ช้าง ก็ขึ้นแท่นกูรูด้านโหราศาสตร์ไทยและฮวงจุ้ยที่มีกระแสความนิยมอย่างต่อเนื่อง และด้วยความฮอตนี้ จึงไปเข้าตาผู้นำค้าปลีกอย่าง เซ็นทรัล รีเทล เลยคว้าตัว คนดัง มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มาพร้อมกับความบันเทิงแบบ Retailtainment ในแคมเปญ คาถาโอเกะ by อ.ช้าง ใช้เพลงเป็นสื่อในการสร้างสรรค์ปรากฎการณ์ความสนุกส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

 

ลัฟ-คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ เผยว่า สำหรับแคมเปญ คาถาโอเกะ by อ.ช้าง เป็นโปรเจ็กต์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับทางเซ็นทรัล รีเทล และ อ. ช้าง-ทศพร ศรีตุลา เพื่อสร้างความสุขและส่งต่อความเป็นสิริมงคล ด้วยเพลงฟีลกู้ดที่ฟังสนุกติดหูอย่างคาถาโอเกะ เนื้อเพลงจะเป็นการอวยพรด้วยคำที่มีความหมายที่ดี สร้างพลังกาย พลังใจให้ทุกคนได้เริ่มต้นสิ่งดี ๆ ในปีใหม่ รับปีเสือทอง ซึ่งเชื่อว่าแคมเปญคาถาโอเกะจะเป็นไวรัลที่ทำให้คนไทยมีความสุขและได้ประสบการณ์ความบันเทิงที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน จึงอยากให้คนไทยทุกคนได้ติดตามความสนุกนี้ไปด้วยกัน

 

กลัฟรู้สึกดีใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญคาถาโอเกะ เพื่อร่วมส่งต่อความสุขในเทศกาลปีใหม่กับ เซ็นทรัล รีเทล กลัฟขออวยพรให้ทุกคน มีความสุข คิดสิ่งใดก็สมความปรารถนา มีสุขภาพที่แข็งแรง และเริ่มต้นปีใหม่อย่างมีพลังเหมือนคำอวยพรในคาถาโอเกะ ที่อยากให้ทุกคนได้ร้องและเต้นตาม สนุกสนานไปด้วยกันนะครับ เรามาปลุกพลังความสดใสในตัว เพื่อต้อนรับปีใหม่กันนะครับ เริ่มปีโชคดี สุขศรีมีปัง และอย่าลืมฝากติดตามผลงานของกลัฟ และ เซ็นทรัล รีเทล ที่จะมีเซอร์ไพร์สอะไรในเทศกาลต่อ ๆ ไป Happy New Year ทุกคนครับ

ด้าน อ.ช้าง ทศพร ศรีตุลา เผยว่า “ในช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ มักมีคนถามผมว่าปีหน้าดวงจะดีขึ้นไหม เรื่องโควิด เรื่องการเงินการงาน และความรัก ผมเชื่อว่าหลาย ๆ อย่างในปีหน้าจะดีขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ เช่นเดียวกับแคมเปญของ เซ็นทรัล รีเทล ที่ต้องการให้คนไทยมีพลังกายพลังใจต้อนรับปีใหม่ แบบ New Year...New Start ผมขออวยพรให้ทุกคนมีความสุข สมหวังดั่งที่ตั้งใจ พร้อมเปิดรับสิ่งดี ๆ ที่จะเข้ามาในปีใหม่นี้ Happy New Year… New Start ทุกคนครับ

เมืองไทยประกันภัย รับรางวัลจรรยาบรรณดีเด่น หอการค้าไทย ปี 2564 ในงาน “TCC Best Awards 2021: คว้าโอกาส ฝ่าวิกฤต ด้วยจรรยาบรรณ” ปีที่ 19

 


บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI ภายใต้การบริหารของ นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รับรางวัลจรรยาบรรณดีเด่น หอการค้าไทย ประจำปี 2564 โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย  องคมนตรี และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เป็นผู้มอบรางวัล พร้อมด้วย ร้อยเอกหญิง ชญาดา หนีพาล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนรับรางวัล ในงาน “TCC Best Awards 2021: คว้าโอกาส ฝ่าวิกฤต ด้วยจรรยาบรรณ” ปีที่ 19
จัดโดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เมื่อวันศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2564 ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รางวัลดังกล่าวจัดขึ้น เพื่อยกย่อง เชิดชูเกียรติ องค์กรธุรกิจที่มีการบริหารจัดการด้านธรรมมาภิบาลที่ดี ตอกย้ำการเป็นบริษัทประกันวินาศภัยชั้นแนวหน้าของประเทศไทย 
ที่เน้นการบริหารงาน ด้วยความโปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาล ให้ความใส่ใจแก่สังคมอย่างรอบด้าน โดย เมืองไทยประกันภัย ได้รับรางวัลจรรยาบรรณดีเด่น หอการค้าไทย ครั้งแรก ในปี 2550  

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2564

กูรู Digital Super Agency แนะปลุกธุรกิจ ติดอาวุธ ดึง MarTech เทคโนโลยีการตลาด เพิ่มพลังให้แบรนด์

 


อุกฤษฎ์ ตั้งสืบกุล” หรือที่รู้จักกันดีว่า อจ. มิ้นท์” หนึ่งในแม่ทัพบริษัท เรียล สมาร์ท จำกัด Digital Super Agency สัญชาติไทยเจ้าแรกที่ให้บริการสื่อสารการตลาดครบวงจร รวมทั้งซอฟต์แวร์และโซลูชั่นที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอัจฉริยะตั้งแต่การทำ Big data การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกตลอดจนนำเสนอกลยุทธการตลาดดิจิทัลฟันธงการตลาดปี 65 ว่าเทคโนโลยีทางการตลาด (MarTech) จำเป็นและถือเป็นอาวุธที่เพิ่มพลังให้แบรนด์มากยิ่งขึ้น เตือนหากแบรนด์ไม่ผสาน MarTech นอกจากตกขบวน ยังก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัลที่แข่งขันเร็วและแรง

 

นายอุกฤษฎ์ ตั้งสืบกุล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เรียล สมาร์ท จำกัดซึ่งยังเป็น Google Partner Academy Trainer และ Partner Academy Speaker รวมถึง Facebook Certified Training Partner เปิดเผยว่าการทำตลาดถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ให้แก่ผู้บริโภค ไปจนถึงการกระตุ้นยอดขายให้เติบโต และมีชัยเหนือคู่แข่งได้

ทั้งนี้ ในยุคดิจิทัล เทคโนโลยีทางการตลาด หรือมาร์เทค (Marketing Technology : MarTech)  ทวีความสำคัญมากขึ้นเพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักการตลาดวางแผนทำการตลาดกำหนดกลยุทธ์เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ไปจนถึงการวัดผลความสำเร็จของแคมเปญต่างๆ ทำให้การตลาดมีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้จ่ายเงินได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากขึ้น

ในขณะที่วิกฤตโรคโควิด-19 ที่ระบาดตั้งแต่ปี 2563-2564 ได้สร้างปฏิกิริยาเร่งให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน มีการบริโภคข้อมูลข่าวสาร รวมถึงการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากแบรนด์ไม่ติดอาวุธการตลาดด้วยเทคโนโลยี ไม่เพียงแค่ตกขบวนไปแล้ว แต่อาจก้าวไม่ทันการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วย

อจ. มิ้นท์ กล่าวว่า MarTech คือเทรนด์ที่มาต่อยอดจากที่ผู้ประกอบการ นักการตลาดใช้ฐานข้อมูล (Data) ผสานกับแพลตฟอร์มออนไลน์ทุกช่องทาง หรือเรียกว่า POSE ซึ่งประกอบด้วย 1.การซื้อโฆษณาสร้างการรับรู้แบรนด์ (Paid Media) ที่ต้นทุนโฆษณาออนไลน์มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นทุกปี  2. การเก็บข้อมูลเป็นของตัวเอง (Owned Data) จากแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ทั้งเว็บไซต์ เพจฯ เนื่องจากข้อมูลเปรียบเสมือนน้ำมันสำหรับขับเคลื่อนธุรกิจ 3. การแบ่งปันเรื่องราว (Share) พฤติกรรมผู้บริโภคดิจิทัล มีการโพสต์ คอมเมนต์ บอกต่อเรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์ทั้งดีและไม่ดี และ 4. ชิงมูลค่าสื่อฟรี (Earned Media) สิ่งที่ผู้บริโภคชื่นชมแบรนด์และมีการกล่าวถึงบนโลกออนไลน์ถือเป็นกระบอกเสียงให้แบรนด์ (Brand advocacy) ทำให้ได้มูลค่าสื่อฟรีๆ

ในปี 2565 หากแบรนด์ต้องการติดอาวุธหรือนำเทคโนโลยีผสมผสานเพื่อเพิ่มพลังทางการตลาด จะต้องเริ่มจากการวิเคราะห์ปัญหา (Pain Point) ของแบรนด์หรือสินค้าคืออะไร แล้วใช้ MarTech ไปแก้ไข อีกมิติแบรนด์ต้องการเพิ่ม (Gain) ความสุขอะไรให้กับผู้บริโภค ตลอดจนการพิจารณาเป้าหมายระยะสั้นระยะยาวคืออะไร เพื่อใช้ MarTech ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์

           “MarTech คือการนำเทคโนโลยีมาติดอาวุธทางการตลาด เพื่อช่วยให้ลูกค้าทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งฟังเสียงผู้บริโภคบนโลกออนไลน์หรือ Social Listening ที่พูดถึงแบรนด์ทั้งเชิงบวกและลบ เชิงบวกทราบความต้องการเพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและแคมเปญการตลาดให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย เชิงลบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดดราม่าหรือวิกฤตต่อแบรนด์ MarTecg ยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลตอบแทนให้ธุรกิจได้ด้วย เช่น การยิงโฆษณาออนไลน์ เพราะสามารถวัดผลความคุ้มค่าของเม็ดเงินที่ใช้จ่าย (ROAS: Return On Ad Spend) บนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ทั้งเฟซบุ๊ก TikTok ยูทูป ทวิตเตอร์ เป็นต้น

ขณะที่เรียล สมาร์ท เป็นผู้ให้บริการ MarTech ที่มีบริการหลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น ด้านบริการตลาดเชิงรุก คิดแผนวางกลยุทธ์สื่อสารการตลาดดิจิทัล สร้างสรรค์คอนเทนท์ ซื้อสื่อโฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ให้ลูกค้ามากที่สุด รับฟังเสียงผู้บริโภคผ่านบริการ Real Listening เพื่อเฝ้าระวังเหตุการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของแบรนด์ ตลอดจน การวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ (Data Analytics) เพื่อพัฒนาต่อยอดสร้างการเติบโตให้แบรนด์ การวิจัยตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค มี Smart Academy ที่ช่วยอบรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการตลาด การทำตลาดออนไลน์ และมีทีมงานพร้อมเสริมทัพแก่ลูกค้าในการทำตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น

การทำตลาดในยุคดิจิทัลมีความท้าทายมากขึ้น เพราะบริบทต่างๆ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งการทำตลาดในยุคดิจิทัล เปรียบเสมือนแบรนด์เข้าสู่สมรภูมิรบ อาวุธสำคัญยุคนี้ไม่ใช่มีด ดาบ แต่เป็นอาวุธทางเทคโนโลยีเหมือนปืนเลเซอร์ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเจาะกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ รวดเร็ว” อุกฤษฎ์สรุป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมได้ที่ www.realsmart.co.th

หรือ facebook.com/realsmart.co.th

บราเดอร์กับภารกิจขวดพลาสติกพลิกชีวิต “อีโค่บริกส์”

 


บราเดอร์กับภารกิจขวดพลาสติกพลิกชีวิต “อีโค่บริกส์”
หากมีเด็กนักเรียนชั้นประถมบอกคุณว่า เราสามารถนำขยะจากขวดน้ำดื่มพลาสติกแบบใสไปรีไซเคิลเป็นผลิตภัณฑ์ได้สารพัดชนิด คุณคงไม่แปลกใจเท่าใดนัก แต่หากเด็กๆ บอกว่าเราสามารถใช้ขยะจากขวดน้ำดื่มเหล่านั้นช่วยป้องกันโรคไข้มาลาเรีย นำมาทำเป็นเครื่องปรับอากาศ ทำเป็นฉนวนลดเสียงรบกวน หรือใช้บรรจุเศษขยะชนิดอื่นได้ถึงกว่าครึ่งกิโลกรัม คงเป็นเรื่องน่าสนใจไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงผลพลอยได้ที่เกิดจากการนำขยะจากขวดพลาสติกใสเหล่านี้มาทำเป็น “พลาสอิฐ” ที่เปลี่ยนขยะธรรมดาให้กลายเป็นวัสดุก่อสร้างสุดอัศจรรย์  

“พลาสอิฐ” หรือ “อีโค่บริกส์” (Ecobricks) คือการนำเอาเศษขยะชิ้นเล็กๆ ที่ไม่เน่าเปื่อยอย่างเช่น ซองพลาสติก ถุงขนม หลอด เปลือกลูกอม ฯลฯ ซึ่งไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ มาบรรจุลงในขวดพลาสติกจนแน่น ทากาวให้ขวดติดกันเป็นบล็อก แล้วจึงนำไปใช้เป็นวัสดุก่อสร้างแทนก้อนอิฐ

อีโค่บริกส์ ขยะที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต ณ โรงเรียนแบมบู
แคทเธอรีน รูท ไรลีย์ ไบรอัน ครูชาวนิวซีแลนด์วัย 73 ปี ผู้ก่อตั้งโรงเรียนแบมบู (Bamboo School) สถานที่ที่เป็นทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล และเป็น “บ้าน” สำหรับเด็กขาดโอกาสในชุมชนบ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เล่าว่า เธอได้แรงบันดาลใจในการนำขยะจากขวดน้ำดื่มพลาสติกมาแปรรูปเป็นอีโค่บริกส์จากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งประโยชน์ของอีโค่บริกส์ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ใช้เป็นวัสดุก่อสร้างและลดปริมาณขยะในชุมชนเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันโรคไข้มาลาเรียได้อีกด้วย

“เมื่อดิฉันมาที่ชุมชนบ้องตี้ราว 20 ปีก่อน มีไข้มาลาเรียชุกชุมมาก มีผู้ป่วยมากกว่าหนึ่งรายทุกเดือน สาเหตุหลักพบว่าเกิดจากการที่บ้านของชาวบ้านไม่มีหน้าต่างและไม่มีมุ้งเลยโดนยุงกัด ซึ่งยุงแพร่พันธุ์ด้วยการวางไข่ในขวดพลาสติกที่ทิ้งไว้ในชุมชน ดิฉันจึงคิดหาวิธีกำจัดขยะจากขวดพลาสติก จนกระทั่งได้พบข้อมูลว่าในอินโดนีเซียมีการนำขวดพลาสติกมาดัดแปลงเป็นวัสดุก่อสร้างด้วยการอัดเศษขยะลงไป จึงได้ริเริ่มให้เด็ก ๆ ช่วยกันเก็บขวดพลาสติกและเศษขยะมาทำเป็นอีโค่บริกส์ ซึ่งสามารถเก็บได้เยอะมาก จนตอนนี้นอกจากในพื้นที่แทบจะไม่มีขยะเหลือให้เก็บแล้ว ปัญหาเรื่องโรคไข้มาลาเรียก็หมดไปด้วย เราไม่มีผู้ป่วยมาลาเรียในพื้นที่มา 4 ปีแล้วค่ะ”

แม้การผลิตอีโค่บริกส์จะมีกรรมวิธีไม่ซับซ้อน แต่แคทเธอรีนต้องลองผิดลองถูกอยู่ช่วงระยะหนึ่งกว่าจะได้อีโค่บริกส์ที่มีคุณสมบัติเหมาะกับงานโครงสร้าง “การทำอีโค่บริกส์เราต้องเลือกขวดที่มีลักษณะเหมือนกันและขนาดเท่ากันพอดี ใส่ขยะลงไปให้แน่น เน้นขยะพลาสติกเพราะแข็งแรงกว่ากระดาษ เราจัดกิจกรรมให้เด็กแข่งขันกันว่าใครจะผลิตอีโค่บริกส์ได้หนักที่สุด ซึ่งน่าทึ่งมากที่หนึ่งขวดสามารถบรรจุเศษขยะได้หนักถึง 0.5-0.6 กิโลกรัมเลยทีเดียว ช่วงแรกเรายังไม่มีประสบการณ์จึงใช้กาวร้อนทาเพื่อให้ขวดติดกันเป็นบล็อก ซึ่งกาวร้อนมีราคาสูงและละลายได้ในสภาพอากาศร้อน เมื่อเกิดปัญหาเลยทดลองใช้กาวชนิดอื่นจนมาพบว่ากาวยางทารองเท้าสามารถใช้ติดขวดได้ดี ไม่ละลาย อีกทั้งยังมีราคาประหยัด เมื่อได้แล้วก็นำบล็อกอีโค่บริกส์มาใช้แทนอิฐและฉาบซีเมนต์ ซึ่งน่าทึ่งอีกเหมือนกันที่ขวดเหล่านี้เป็นฉนวนกันความร้อนได้ด้วย ขณะที่อุณหภูมิภายนอกสูงถึงกว่า 35 องศาเซลเซียส แต่ภายในอาคารที่สร้างจากอีโค่บริกส์มีอุณหภูมิประมาณ 23 องศาเท่านั้น จึงกล่าวได้ว่าอีโค่บริกส์ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็ก ๆ ให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น ช่วยป้องกันยุงวางไข่ซึ่งเป็นสาเหตุของไข้มาลาเรีย เป็นฉนวนกันความร้อน และยังช่วยลดเสียงดังรบกวนระหว่างห้องขณะทำการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี เรามีแผนจะขยายการก่อสร้างต่อไป โดยทำห้องสมุด อาคารอเนกประสงค์ กำแพงโรงอาหาร และบริเวณลานกิจกรรม รวมทั้งนำมาใช้สร้างเป็นต้นไม้อีโค่บริกส์ให้เด็ก ๆ ได้ใช้แสดงผลงานทางศิลปะด้วยค่ะ”

และจากความมุ่งมั่นของโครงการที่ต้องการพลิกชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนควบคู่ไปกับการรักษ์โลก บราเดอร์ จึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการในปีนี้
เพื่อสร้างให้ชุมชนและสิ่งแวดล้อมอยู่คู่กันได้อย่างสมดุล

ด้วยคุณประโยชน์อันทรงคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในขยะจากขวดน้ำดื่ม ทำให้บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เล็งเห็นถึงความสำคัญในการใช้อีโค่บริกส์เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อสังคมที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อเดินหน้าสู่การเป็น “สำนักงานสีเขียว” (Green Office) อย่างเต็มรูปแบบ โดยเริ่มจากการปลูกจิตสำนึกของคนในองค์กรให้เห็นถึงความสำคัญของสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมในสำนักงานเพื่อลดการใช้พลังงาน รวมทั้งลดปริมาณขยะด้วยกลยุทธ์ 3Rs อันประกอบด้วย การลดการใช้ทรัพยากร (Reduce) การใช้ซ้ำ (Reuse) และการนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ซึ่งในปีพ.ศ.2564 นี้ บราเดอร์สามารถคว้ารางวัล Gold Award มาครองได้สำเร็จหลังจากที่ได้รับรางวัล Silver Award มาแล้วในปีพ.ศ.2563

“ปีที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จในการเป็นสำนักงานสีเขียวด้วยกลยุทธ์ 3Rs แต่สิ่งหนึ่งที่เรามองว่าเรายังสามารถเติมเต็มได้อีกคือ การทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชน คณะกรรมการเพื่อสำนักงานสีเขียวของบราเดอร์ได้ทราบข่าวการนำขยะจากขวดพลาสติกมาผลิตเป็นอีโค่บริกส์ จึงเกิดความสนใจและจัดกิจกรรมแปรรูปขวดพลาสติกเป็นอีโค่บริกส์ขึ้น เพื่อนำไปบริจาคให้กับโรงเรียนแบมบูที่มีคุณแคทเธอรีนเป็นผู้ก่อตั้งและดำเนินการ จากนั้น เราคิดต่อไปอีกว่า ทำไมเราไม่ลงพื้นที่เพื่อมีส่วนร่วมกับชุมชนเลยล่ะ จึงจัดกิจกรรมสร้างศูนย์การเรียนรู้จากอีโค่บริกส์ ณ โรงเรียนแบมบูขึ้น ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริหารและพนักงานอย่างท่วมท้น กิจกรรมนี้ตอบโจทย์เป้าหมายหลักในการดำเนินธุรกิจของบราเดอร์ ที่ไม่เพียงมีเป้าหมายเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่การผลิตและการบริโภค แต่ยังมุ่งเน้นที่การดูแลชุมชนอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราทำมาโดยตลอด เช่น การใช้กระดาษครบ 2 หน้าและนำไปบริจาคเพื่อผลิตเป็นอักษรเบรลล์สำหรับคนตาบอด ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ เรายังมีบริษัท TVS ซึ่งเป็นบริษัทคู่ค้าด้านการขนส่งมาร่วมกิจกรรมกับเราด้วย โดยจะนำเอาขวดอีโค่บริกส์จำนวน 1,096 ขวดไปสร้างเป็นกำแพงศูนย์การเรียนรู้ให้กับเด็กๆ และนอกจากนี้ บราเดอร์ ยังได้บริจาควัสดุก่อสร้างอื่นๆ ตลอดจนเงินบริจาค 20,000 บาทให้แก่โรงเรียนแบมบูเพื่อใช้ในการดำเนินงานอีกด้วย รวมทั้งจักรเย็บผ้าบราเดอร์เพื่อใช้ในการศึกษาและฝึกฝนวิชาชีพของเด็กนักเรียนในโรงเรียนแบมบู” นายพรภัค อุไพศิลป์สถาพร ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงกิจกรรมในครั้งนี้

กิจกรรมการผลิตและการสร้างศูนย์การเรียนรู้จากอีโค่บริกส์ นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือ SDGs (Sustainable Development Goals) โดยบริษัทมุ่งมั่นที่จะยังคงดำเนินการสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมในปี 2050 ของบราเดอร์กรุ๊ป
#brotherPRnews

สำหรับผู้สนใจเกี่ยวกับอีโค่บริกส์ งานพัฒนาชุมชน หรือบริจาคทุนการศึกษาให้กับเด็ก ณ โรงเรียนแบมบู จ.กาญจนบุรี สามารถติดต่อได้ที่ www.facebook.com/catherine.rileybryan

สามารถชมข้อมูลบราเดอร์เพิ่มเติมได้ที่
https://www.brother.co.th/th-th
https://www.facebook.com/BrotherCommercialThailand/
หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Brother Contact Center ☎ 0-2665-7777

อัญมณีเสริมบารมีรับปีเสือทอง

 


เลือกอัญมณีเสริมดวงรับปีเสือทอง เชอร์ลี่ย์-หทัยชนก สุวรรณทรรภ เจ้าของแบรนด์ Shirley Gems ดีไซเนอร์ชื่อดังที่สืบเสาะและศึกษาข้อมูลเฉพาะตัวของอัญมณีมาเกือบ 20 ปี ซึ่งคุณค่าของอัญมณีแต่ละชนิดที่เธอเลือกมาร้อยเรียงขึ้นเรือนเป็นเครื่องประดับนั้น คุณแทบไม่เชื่อเลยว่า นอกจากจะมีประกายงดงามแล้ว ยังมีพลังในการเสริมสิริมงคล เมตตามหานิยม ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างน่าอัศจรรย์

การเลือกใช้เครื่องประดับของเชอร์ลี่ย์จะเปลี่ยนไปตามช่วงวัย เริ่มต้นทำงานก็ให้ความสำคัญกับความรัก จะใส่อัญมณีพวกโรส ควอตช์ (Rose Quartz) ทับทิมจะเสริมในเรื่องเสน่ห์และความรัก ทำงานได้สักพักก็เน้นที่หน้าที่การงาน การค้าขาย และความร่ำรวยมากกว่า ก็จะใช้อัญมณีประเภทไหมทอง (Golden Rutilated Quartz) ถึงตอนนี้แต่งงานแล้ว ชีวิตเริ่มลงตัวก็จะใส่อัญมณีประเภท Moonstone พวกมุก หยก พลอยประจำวันเกิด อย่างช่วงโควิด-19 เชอร์ลี่ย์นำหัวนะโมที่ได้มาจากจังหวัดนครศรีธรรมราชมาดีไซน์กับหยกและหินนิล รวมถึงเหล็กไหลใส่ติดตัว เพื่อปกป้องคุ้มครองโรคภัยไข้เจ็บ สอดคล้องกับความเชื่อของคนโบราณที่จะฝังหัวนะโมไว้ใต้ดินเพื่อป้องกันโรคระบาด

เช่นกันกับปีนี้ที่แม้เราจะได้เฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในบรรยากาศของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มว่าจะส่งผลกระทบต่อจิตใจ ดังนั้น เครื่องประดับอัญมณีจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะมอบเป็นของขวัญให้กับตัวเอง เพื่อน และคนรัก ซึ่งจะเป็นกลุ่มของ....

หยกเขียว มีพลังเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากลว่า ‘กินบ่เซี่ยง’ มีกินมีใช้ไม่มีวันหมด อนาคตมีแต่คำว่าดีขึ้นๆๆ ร่ำรวยขึ้น เฮงยิ่งๆ ขึ้นไป และรับเคราะห์แทนเจ้าของ

ยิ่งหากตรงกับปีชงด้วยแล้ว ควรเลือก หินไทเกอร์อาย (Tiger eye) 3 สี ที่มีพลังในการปกป้องคุ้มครองภยันอันตราย

โดยเฉพาะในช่วงที่เรายังต้องใส่แมสก์กันอยู่ สิ่งที่มาคู่กันคือ ‘สายคล้องแมสก์’ นอกจากจะมีประโยชน์ในการใช้สอย ความสวยงามแล้ว ยังสามารถเสริมสิริมงคลได้ด้วย เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นของขวัญแก่ทุกเพศทุกวัย อย่างเชอร์ลี่ย์เกิดวันอาทิตย์ ก็จะเลือกใช้อัญมณีที่ชื่อซิทรีน (Citrine) เป็นพลอยสีเหลือง ซึ่งเป็นหินแห่งความสำเร็จ หรือหินเรียกเงินเรียกทอง นำความร่ำรวย ความเจริญรุ่งเรือง เสริมความสุข มีสติปัญญารวมถึงทางด้านสุขภาพจะช่วยลดความเครียด ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง  เป็นต้น

อย่างน้อยพลังที่ทั้ง ผู้รับ’ และ ผู้ให้’ จะสัมผัสได้ทันทีเลยคือความสุข ความสวยงาม และกำลังใจที่ดี รวมถึงสิริมงคลที่สามารถเปลี่ยนจาก ‘ปีเสือโหย’ ให้กลายเป็น ‘เสือทอง’ ได้

สามารถติดตามชมเครื่องประดับ Shirley Gems ได้ทางออนไลน์ทุกช่องทาง ทั้ง facebook/Fanpage Shirley Gems และ Line: ShirleyGems


เกรท วอลล์ มอเตอร์ จัดงาน GWM NIGHT – GREAT TIME GREAT FANS ขอบคุณลูกค้าสำหรับการสนับสนุนด้วยดีเสมอมา พร้อมยืนยันส่งมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้าชาวไทย

 


กรุงเทพฯ  28 ธันวาคม 2564  เกรท วอลล์ มอเตอร์ จัดงาน GWM NIGHT – GREAT TIME GREAT FANS พร้อมเชิญลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ทั้ง รุ่น ได้แก่ รถยนต์เอสยูวี All New HAVAL H6 Hybrid SUV รถยนต์ไฟฟ้า 100% ORA Good Cat และรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง All New HAVAL JOLION Hybrid SUV กว่า 300 คน เข้าร่วมกิจกรรมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์อันอบอุ่นกับทีมผู้บริหารอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนผลิตภัณฑ์และการบริการของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ด้วยดีเสมอมา โดยได้เนรมิตลานริมน้ำ ณ Asiatique the Riverfront ในคืนคริสต์มาสอีฟ ให้เป็นค่ำคืนแห่งความสุขและความประทับใจ พร้อมจัดเต็มกับกิจกรรมสุดสนุกสนาน มินิคอนเสิร์ตและโชว์สุดพิเศษทั้งจากลูกค้า ผู้บริหาร และทีมงานเกรท วอลล์ มอเตอร์ นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้รถยนต์และแบรนด์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจที่เน้นผู้ใช้รถยนต์เป็นศูนย์กลาง (User-Centric) เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องให้กับลูกค้าชาวไทย

 

เกรท วอลล์ มอเตอร์ นำทีมโดย มร. เอลเลียต จาง ประธาน มร. สตีเว่น หวัง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย และนายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยทีมผู้บริหารและพนักงานจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จัดกิจกรรม GWM NIGHT – GREAT TIME GREAT FANS อย่างยิ่งใหญ่ เพื่อขอบคุณลูกค้าทุกๆ ท่าน ที่ให้การสนับสนุน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตลอดปีที่ผ่านมา ท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาใจกลางกรุงเทพมหานคร เมื่อคืนวันคริสต์มาสอีฟ ในวันที่ 24 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยมีลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์จากแบรนด์ HAVAL และ ORA มาร่วมงานกว่า 300 คน รวมไปถึงลูกค้าท่านอื่นๆ ที่รับชมการถ่ายทอดสดผ่าน 3 ช่องทางออนไลน์ Facebook Page และ YouTube: GWM Thailand รวมถึง Facebook Page : HAVAL Thailand

 

โอกาสนี้ นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดกล่องของขวัญเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนคำขอบคุณลูกค้า พร้อมทั้งให้ข้อมูลความสำเร็จตลอดปีที่ผ่านมาและเป้าหมายในอนาคตร่วมกันว่า “เส้นทางของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ในประเทศไทยตลอดทั้งปีที่ผ่านมา มีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นผลมาจากการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่ทุกท่านมีให้กับ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เสมอมา  ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เราเดินหน้าทุ่มเทเพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย รวมไปถึงการให้บริการแบบ Online – To – Offline (O2O) รูปแบบใหม่ที่ครบวงจร ส่งผลให้  เกรท วอลล์ มอเตอร์ สามารถตอบโจทย์ความต้องการและชนะใจผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น All New HAVAL H6 Hybrid SUV เจ้าเหมียว ORA Good Cat เจ้าสิงโตอารมณ์ดี All New HAVAL JOLION Hybrid SUV รวมไปถึง All New HAVAL H6 Plug-in Hybrid SUV ที่กำลังได้รับความสนใจจากคนไทยอย่างล้นหลามจากการปรากฏโฉมครั้งแรกในงาน Motor Expo ที่ผ่านมา และในปี พ.ศ. 2565 นี้ เราเชื่อว่าจะเป็นอีกปีที่น่าตื่นเต้นและอัดแน่นไปด้วยสิ่งดีๆ ที่เราพร้อมนำเสนอให้กับแฟนๆ ชาวไทย เพราะเราจะยังคงเดินหน้านำเสนอผลิตภัณฑ์อันล้ำสมัย พร้อมการบริการ และกิจกรรมใหม่ๆ เพื่อส่งมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมและความประทับใจมาให้ทุกคนได้สัมผัสกันอย่างต่อเนื่อง ให้ทุกๆ คนมีความสุขและภาคภูมิใจที่เลือกมาเป็นครอบครัวเดียวกับเรา”

 

นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังมุ่งมั่นสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าทุกท่าน ด้วยการขยาย GWM Direct Store และ Partner Store ให้ครบ 50 แห่ง ภายในไตรมาสแรก ของปี พ.ศ. 2565 ควบคู่ไปกับการยกระดับบริการหลังการขายให้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (xEV Leader) ด้วยการเดินหน้าขยายสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายที่ 100 สถานี ภายในปี พ.ศ. 2566 และ 300 สถานี ภายในปี พ.ศ. 2568 

 

ความสำเร็จของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้รับการยืนยันจากตัวแทนผู้ใช้รถ 3 ท่าน ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์เอสยูวี All New HAVAL H6 Hybrid SUV รถยนต์ไฟฟ้า 100% ORA Good Cat และเจ้าสิงโตอารมณ์ดี All New HAVAL JOLION Hybrid SUV ซึ่งได้ให้เกียรติมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์จริงจากการใช้งานรถยนต์แต่ละรุ่น ซึ่งทุกท่านต่างชื่นชอบดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหนือระดับ ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่อัจฉริยะสำหรับทุกคนได้อย่างลงตัว และยังได้แบ่งปันความประทับใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เกรท วอลล์ มอเตอร์อีกด้วย

 

ภายในงานยังได้มีการเปิดตัว HAVAL USER COMMITTEE ซึ่งจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่าน โดยมีสมาชิกประกอบด้วยเจ้าของรถยนต์แบรนด์ HAVAL ในประเทศไทย จำนวน ท่าน ที่อาสาทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงสำคัญ เพื่อเป็นตัวแทนในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างแบรนด์และผู้ใช้รถยนต์ HAVAL เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์ประสบการณ์ดีๆ ร่วมกัน ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมต่างๆ ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ให้กับลูกค้าทุกคน

 

ในโอกาสนี้ มร. สตีเว่น หวัง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย ได้ให้เกียรติมอบประกาศนียบัตรแก่ HAVAL USER COMMITTEE ทั้ง 5 ท่าน พร้อมกล่าวแสดงความขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมงานในค่ำคืนแสนพิเศษนี้ว่า “วันนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะได้ขอบคุณลูกค้าของเราอย่างเต็มที่อีกครั้ง เราได้จัดเตรียมกิจกรรมและการแสดงชุดพิเศษมากมายเพื่อเป็นของขวัญสำหรับลูกค้าชาวไทยทุกท่านที่ได้ให้การสนับสนุนพวกเราเป็นอย่างดี ความเชื่อมั่น ไว้วางใจ และความจริงใจที่ลูกค้าทุกท่านมอบให้กับเรา เป็นพลังใจสำคัญให้เราสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับประเทศไทย และยังเป็นรากฐานของสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค จนกลายเป็นครอบครัว เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่แข็งแกร่ง เป็นสุดยอด Great Fans ที่ผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น และเราขอสัญญาว่า เราจะยังคงดูแลสมาชิกทุกท่านให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนทุกความเชื่อมั่นและไว้วางใจที่ทุกท่านมีให้เราเสมอมา เราขอขอบคุณทุกๆ ท่านอีกครั้งที่มาร่วมแบ่งปันช่วงเวลาดีๆ กับเราในวันนี้ และขอให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่า เกรท วอลล์ มอเตอร์ พร้อมที่จะคอยเคียงข้างเติบโตไปเป็นครอบครัวที่อบอุ่นกับทุกๆ ท่านต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน”

 

ไม่เพียงเท่านี้ ภายในงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังได้มอบรางวัลอันทรงเกียรติให้แก่ผู้ใช้รถยนต์ที่เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับเกรท วอลล์ มอเตอร์ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อแสดงความขอบคุณในฐานะลูกค้าคนสำคัญ ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจที่เน้นผู้ใช้รถยนต์เป็นศูนย์กลาง (User-Centric) อย่างแท้จริง โดยมี มร. เอลเลียต จาง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย ให้เกียรติเป็นผู้มอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น ประเภท ได้แก่  1) รางวัล First Explorer Love Award เป็นรางวัลที่มอบให้กับลูกค้าท่านแรกของรถยนต์แต่ละรุ่น 2) รางวัล GWM APP Superstar Award มอบให้กับลูกค้าที่ร่วมกิจกรรมต่างๆ ในแอปพลิเคชันของ GWM มากที่สุดในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 และ 3) รางวัล Ownership Award ซึ่งมอบให้กับลูกค้าที่ชวนเพื่อนมาร่วมทดลองขับรถหรือซื้อรถยนต์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้มากที่สุด

 

ทั้งนี้ แขกผู้ร่วมงานได้เพลิดเพลินไปกับแสงสีเสียงตระการตาพร้อมถ่ายรูปเช็คอินกันได้อย่างจุใจ เต็มอิ่มด้วยอาหารและขนมทานเล่นที่หลากหลาย และอินเตอร์แอคทีฟเกมส์มากมายให้ร่วมสนุก รวมไปถึงกิจกรรมเอ็กซ์คลูซีฟที่เปิดโอกาสให้ลูกค้า พันธมิตร และผู้บริหารเกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้พูดคุยทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างใกล้ชิด พร้อมโชว์พิเศษจาก GWM Experience Center ณ ICONSIAM ร่วมกับสภาเด็กและเยาวชนเขตคลองสาน กิจกรรม Lucky Draw ลุ้นรับของรางวัลมากมาย มินิคอนเสิร์ตจากวง Cocktail และนิว-จิ๋ว ตบท้ายด้วยเซอร์ไพรส์โชว์จากทีมผู้บริหารของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ก่อนที่ทุกคนจะร่วมส่งท้ายคืนคริสต์มาสอีฟด้วยกันอย่างอบอุ่นและน่าประทับใจด้วยบทเพลงเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ร่วมกัน โดยกิจกรรมตลอดค่ำคืนดำเนินการภายใต้มาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

 

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก” (Global Intelligent Technology Company) ดำเนินกิจการภายใต้กลยุทธ์ที่มุ่งเป็นผู้นำด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV Leader) ที่พร้อมรับฟังเสียงผู้บริโภค เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การขับที่ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ และเคียงข้างเติบโตไปด้วยกันกับลูกค้าทุกคน ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้ก้าวไกลสู่อนาคต      

 

“ณภัทร” คว้าแชมป์ โตโยต้า ไทยแลนด์ ลองไดร์ฟ แชมเปี้ยนชิพ 2024 พร้อมลุยศึกชิงแชมป์โลกที่สหรัฐฯ

  24  เมษายน  2567 -  ณภัทร แซ่ลิ้ม โชว์พลังหวด  365.7  หลา คว้าแชมป์  “ โตโยต้า ไทยแลนด์ ลองไดร์ฟ แชมเปี้ยนชิพ  2024”  รอบชิงชนะเลิศ ที่สนา...