วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ประจำปี 2566 เปิดวิสัยทัศน์สู่ยุค Low Carbon ททท. ยกระดับเติบโตอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน

 


  ทททเปิดตัวโครงการประกวดรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 14 เพิ่มประเภทรางวัล Low Carbon & Sustainability มุ่งสู่เป้าหมาย การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำพร้อมยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (High Value and Sustainability)

        การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เชิญชวนผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวส่งผลงานเข้าร่วมประกวดรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 14 ประจำปี 2566

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย Thailand Tourism Awards นับเป็นรางวัลที่ทรงเกียรติ ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ซึ่ง ทททจัดประกวดอย่างต่อเนื่องทุก ๆ ปี และในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 14 โดยเปิดรับสมัครทั้งหมด ประเภท คือ 1.แหล่งท่องเที่ยว (Attraction) 2.ที่พักนักท่องเที่ยว (Accommodation) 3.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health and Wellness Tourism) 4.รายการนำเที่ยว (Tour Programmes) และ 5.การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน (Low Carbon & Sustainability) เพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมตามยุทธศาสตร์ STGs (Sustainable Tourism Goals) ซึ่งรางวัลประเภทการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืนนั้น จะช่วยเพิ่มมูลค่า สร้างจุดเด่น และเพิ่มโอกาสทางการท่องเที่ยวในการเข้าถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นการสร้างความตระหนักรู้และคุณค่าในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแก่ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างคุณค่า และมูลค่าของสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวไทยสู่สากล เป็นการยกระดับภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวได้ว่า เมื่อเลือกใช้สินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวที่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย Thailand Tourism Awards ที่มีสัญลักษณ์เป็นกินรี มั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการจากผู้ประกอบการที่มีการการันตีมาตรฐานและคุณภาพ ทั้งในด้านการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยและยั่งยืน (Safe and Sustainable Tourism) รวมทั้งการรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม (Responsible Tourism)

         โดยกรอบแนวคิดในการพิจารณาตัดสินรางวัล ครั้งที่ 14 ในปี 2566 นี้ อยู่บนพื้นฐานของ แนวคิดหลัก คือ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) ภายใต้กระบวนการจัดการที่คำนึงถึงสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมโดยมีกลไกสำคัญ คือ โมเดลเศรษฐกิจยั่งยืนแบบใหม่ BCG Economy Model ผสานกับการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism) และการบริหารจัดการคาร์บอนต่ำ (Low Carbon & Sustainability managementและอีก แนวคิดหลัก คือ ความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Safety & Health Administration) และความสนใจของกลุ่มนักท่องเที่ยว (Customers Interest)

 

การประกวดรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 14 ประจำปี 2566 แบ่งเป็น ประเภทหลัก 14 สาขาย่อย ดังนี้

1. ประเภทแหล่งท่องเที่ยว (Attraction) แบ่งประเภทรางวัลย่อยออกเป็น สาขา ประกอบด้วย

1.1          สาขาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการผจญภัย (Outdoor & Adventure Activities)

1.2          สาขาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ (Learning & Doing)

1.3          สาขาแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ (Nature & Park)

1.4          สาขาแหล่งท่องเที่ยวนันทนาการและความบันเทิง (Recreation & Entertainment)

1.5          สาขาแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม (Historical & Culture)

1.6          สาขาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน (Local & Community)

2. ประเภทที่พักนักท่องเที่ยว (Accommodation) แบ่งประเภทรางวัลย่อยออกเป็น สาขา ประกอบด้วย

2.1          สาขาลักซ์ชูรี โฮเทล (Luxury Hotel)

2.2          สาขาโลเคชั่น โฮเทล (Location Hotel)

2.3          สาขารีสอร์ต (Resort)

2.4          สาขาดีไซน์ โฮเทล (Design Hotel)

3. ประเภทการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health and Wellness Tourism) แบ่งประเภทรางวัลย่อยออกเป็น สาขา ประกอบด้วย

3.1          สาขาสปา (Spa)

3.2         สาขาเวลเนส สปา (Wellness Spa)

3.3         สาขาเวลเนส แอนด์ สปา รีทรีต (Wellness & Spa Retreat)

3.4         สาขานวดไทย (Nuad Thai for Health)

4. ประเภทรายการนำเที่ยว (Tour Programmes)

5. ประเภทการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน Low Carbon & Sustainability

รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย แบ่งออกเป็น รางวัล ดังนี้

1. รางวัลยอดเยี่ยม (Thailand Tourism Gold Award)

2. รางวัลดีเด่น (Thailand Tourism Silver Award)

        3. เกียรติบัตรรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Certificate)

***โดยผลงานที่ได้รับรางวัล Thailand Tourism Gold Award จำนวน ครั้งติดต่อกัน โดยไม่จำเป็นต้องได้รับรางวัลประเภทเดียวกัน จะได้รับรางวัล Hall of Fame

 

 

 

สิทธิประโยชน์จากทางโครงการ ฯ

ผลงานที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน จะได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย Thailand Tourism Awards
ที่มีสัญลักษณ์เป็นกินรี
 เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว ด้วยมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาดในการเสนอขายสินค้าและบริการแก่นักท่องเที่ยว และได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1.         ส่งเสริมการขายและการตลาด ผลงานที่ได้รับรางวัลได้รับสิทธิ์ร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาดกับ ทททดังต่อไปนี้

       ได้รับเชิญเข้าร่วมงานส่งเสริมการขาย Trade Show/Road Show/Consumer Fair ของ ทททและพันธมิตรที่ ทททสนับสนุน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละกลุ่มตลาด

       ได้รับสิทธิ์ส่วนลดค่าใช้จ่าย 50% ในการเข้าร่วมงานส่งเสริมการขายกับ ททททั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละกลุ่มตลาด

       ได้รับการนำเสนอข้อมูลขายผ่านสื่อการตลาดดิจิทัลของ ทททได้แก่ Video clip/
E-Book/Digital Brochure 

2.         ประชาสัมพันธ์ ผลงานที่ได้รับรางวัลจะได้รับการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ ดังต่อไปนี้

       ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออฟไลน์ และออนไลน์ของ ทททได้แก่ เพจ Amazing Thailand และเพจ Thailand Tourism Awards/อนุสาร อสท.

       ประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ข่าวออนไลน์และสื่อสิ่งพิมพ์

       ประชาสัมพันธ์ผ่าน Blog/สื่อโซเชียลมีเดียท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง

3.         ยกระดับพัฒนาองค์กร Upskill - Reskill

       ได้รับสิทธิ์ร่วมกิจกรรม Seminar/Workshop อาทิเช่น Online Digital Marketing Workshop และงานสัมมนาเจ้าบ้านที่ดี 2566 เป็นต้น

ทั้งนี้จะเปิดรับสมัครในวันที่ มีนาคม - 30 เมษายน 2566 และประกาศผลรางวัลวันที่ กันยายน 2566
โดยจะมีพิธีมอบรางวัลในวันท่องเที่ยวโลก (World Tourism Day) วันที่ 27 กันยายน 2566

  ผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ประสงค์เข้าร่วมการประกวด สามารถศึกษาข้อมูลคุณสมบัติและเกณฑ์การตัดสินเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสมัครได้ที่

www.thailandtourismawards.com

www.facebook.com/ThailandTourismAwardsNew

Line Official Account หลักของโครงการประกวดอุสาหกรรมท่องเที่ยวไทย : @tourismawards

Line Official Account แยกตามประเภทรางวัล

ประเภทแหล่งท่องเที่ยว : @tourismawards1

ประเภทที่พัก : @tourismawards2

ประเภทการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ : @tourismawards3

ประเภทรายการนำเที่ยว : @tourismawards4

ประเภทการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน : @tourismawards5

ผลกระทบจากวิกฤต PM2.5 เรื้อรัง ส่งผลยีนส์กลายพันธุ์ก่อโรคมะเร็งปอด ภัยร้ายใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม

 


มะเร็ง’ ยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย และด้วยมลพิษทางอากาศ รวมถึงฝุ่นควันต่าง ๆ โดยเฉพาะมลพิษจากอนุภาคฝุ่นละออง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ PM2.5 ซึ่งเป็นสาเหตุกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดในกลุ่มคนที่ไม่สูบบุหรี่ ปัญหาดังกล่าวที่เรื้อรังมานานจึงสร้างความวิตกกังวลให้กับหลาย ๆ คน

 

จากรายงานของคลังข้อมูลสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเทศไทยมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเมินได้จากจำนวนผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละมากกว่าแสนรายซึ่งมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตเฉียดหลักแสนรายด้วยเช่นกัน ซึ่งมะเร็งปอดถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของคนไทย (เป็นอันดับ 2 ในผู้ชายรองจากมะเร็งตับและถุงน้ำดี และเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิง) โดยในปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตประมาณ 14,586 คน หรือคิดเป็น 40 คนต่อวัน

 

ทั้งนี้ จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า[1] มีปัจจัยในชีวิตประจำวันหลายด้านที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดความเสี่ยงโรคมะเร็งปอด ได้แก่ การสูบบุหรี่หรือการอยู่ใกล้ชิดกับคนที่สูบบุหรี่ การทำงานที่มีการสัมผัสกับแร่ใยหินในรูปแบบต่าง ๆ และการส่งต่อผ่านกรรมพันธุ์ เป็นต้น ขณะที่สาเหตุอื่น ๆ เช่น มลภาวะทางอากาศอย่างฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 ก็กำลังทวีความรุนแรงและกลายมาเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปอด ซึ่งในปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจาก PM2.5 แล้วกว่า 71,184 ราย (สูงเป็นอันดับสามของอาเซียนรองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม)

 

A picture containing grass, person, sport

Description automatically generated

แม้ว่าวิกฤตฝุ่นละออง PM2.5 จะได้รับการยกระดับการแก้ปัญหาเป็นวาระแห่งชาติ เพราะเป็นปัญหาเรื้อรังและเกิดขึ้นต่อเนื่องทุกปี และดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ตลอดหลายปีมานี้ เราได้เห็นนักคิด นักวิชาการ รวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จำนวนมากที่ออกมาให้ความรู้ความเข้าใจเรื่อง PM2.5 ตลอดจนเตือนภัย และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา แต่เนื่องจากปัญหาดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไข ดังนั้นประชนชนจึงควรมีข้อมูลความรู้ในการเตรียมตัวและวางแผนเพื่อดูแลตนเองควบคู่ไปด้วยกัน

 

โดยฝุ่นละออง PM 2.5 ถือเป็นสารก่อมะเร็งที่มีขนาดโมเลกุลเล็กเพียง 2.5 ไมครอน ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสามารถลอยเข้าไปในหลอดลมจนถึงปอดได้โดยที่เราไม่รู้สึกตัว ส่งผลให้ปอดเกิดอาการอักเสบ โดยสาเหตุดังกล่าวไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะสั้น เช่น แสบตา แสบจมูก ระคายเคืองตา หรือภูมิแพ้กำเริบเท่านั้น แต่หากได้รับฝุ่นละออง PM2.5 ในปริมาณมากและต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบในระยะยาวทำให้เกิดโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่ข้อมูลใหม่จากการศึกษาวิจัยในงานประชุมวิชาการทางการแพทย์นานาชาติ European Society for Medical Oncology (ESMO) ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่ามลพิษฝุ่นละออง PM 2.5 มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการกลายพันธุ์ของยีนชนิด EGFR และ KRAS ในเซลล์ระบบทางเดินหายใจซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งปอดได้[2]

 

ด้วยสาเหตุและปัจจัยหลายประการ ทำให้ประชาชนทั่วไปยากที่จะรับรู้และแยกแยะออกได้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับโรคร้ายหรือไม่ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงมลพิษ ฝุ่นควัน และหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ รวมถึงการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามทั้งกับคนทั่วไปหรือกลุ่มเสี่ยง

 

 

มะเร็งปอดจะมีทั้งหมด ระยะหลัก โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักตรวจพบเจอในระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายหรือในสภาวะที่โรคลุกลามแล้ว ส่งผลให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ทั้งนี้ ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ทำให้มีการนำนวัตกรรม AI เข้ามาใช้ร่วมไปกับการตรวจสอบยืนยันผลจากรังสีแพทย์เพื่อคัดกรองมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพของผลการตรวจ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงทีและตรงจุด เมื่อเทียบผลของการรักษาจะพบว่า หากเจอมะเร็งปอดที่ระยะแรกจะมีโอกาสอยู่รอดใน ปีสูงถึง 92 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ถ้าพบในระยะที่ มีโอกาสอยู่รอดเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จะเห็นได้ว่า “มะเร็ง รู้เร็ว รักษาได้” การได้รับผลวินิจฉัยโรคมะเร็งปอดตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จะสามารถทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษาได้อย่างรวดเร็ว นำมาซึ่งผลการรักษาที่ดีและเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้มากยิ่งขึ้น

 

แม้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยภายนอก อย่างมลภาวะฝุ่น PM2.5 ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การหมั่นดูแลตัวเองเป็นประจำ ด้วยการไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงและระมัดระวังการทำกิจกรรมในที่โล่งแจ้งขณะฝุ่นหนาแน่น ปิดประตูและหน้าต่างให้มิดชิดขณะอยู่ภายในตัวอาคาร สังเกตอาการของคนกลุ่มเสี่ยงรอบตัว หมั่นตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอหรือเมื่อมีอาการเข้าข่าย ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

 

ด้วยความปราถนาดีจาก บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และ The Lung Ambition Alliance (LAA)

“โอกลีทรี” ลุ้นทำสถิติคว้าแชมป์อินเตอร์เนชั่นแนลซีรีส์ รายการที่ 3 ประชันยอดฝีมือไทยที่หัวหิน


ประจวบคีรีขันธ์ - แอนดี้ โอกลีทรี โปรกอล์ฟฟอร์มแรงชาวอเมริกัน ตั้งเป้าทำผลงานดีต่อเนื่องในการแข่งขันกอล์ฟเอเชียนทัวร์ รายการ “อินเตอร์เนชันแนล ซีรีส์ ไทยแลนด์” ชิงเงินรางวัลรวม  ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 68 ล้านบาท ประชันเหล่านักกอล์ฟชั้นนำของทัวร์และผู้เล่นแถวหน้าของไทย ซึ่งจะแข่งขัน ณ สนามแบล็คเมาน์เท่น กอล์ฟคลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในสัปดาห์หน้า

           

สำหรับการแข่งขันรายการ อินเตอร์เนชันแนล ซีรีส์ ไทยแลนด์ จัดขึ้นเป็นครั้งที่สอง โดยมีนักกอล์ฟมือท็อป คน จาก อันดับแรกของตารางทำเงินรางวัลสะสมเอเชียนทัวร์ หรือเอเชียนทัวร์ ออร์เดอร์ ออฟ เมอริต ยืนยันเข้าร่วมล่าแชมป์และเงินรางวัลรวมที่เพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ จากเดิม 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ โดยจะแข่งขันระหว่างวันที่ 9-12 มีนาคมนี้ ซึ่งเป็นรายการที่ ของเอเชียนทัวร์ ฤดูกาล 2023 และเป็นรายการที่ ของอินเตอร์เนชันแนล ซีรีส์ ต่อจากโอมาน และกาตาร์ 

           

ด้านแอนดี้ โอกลีทรี โปรกอล์ฟชาวอเมริกัน ที่เพิ่งคว้าแชมป์อินเตอร์เนชันแนล ซีรีส์ กาตาร์ เมื่อสองสัปดาห์ก่อน หวังจะรักษาฟอร์มดีได้อย่างต่อเนื่องเพื่อครองตำแหน่งนักกอล์ฟทำเงินรางวัลสูงสุด เป็นมือหนึ่งของเอเชียนทัวร์ พร้อมตำแหน่งแชมป์ทำเงินรางวัลของอินเตอร์เนชันแนล ซีรีส์ ออร์เดอร์ ออฟ เมอริต ซึ่งจะได้สิทธิ์ผ่านเข้าไปแข่งขันในลิฟ กอล์ฟ ลีก โดยอัตโนมัติ

           

โปรกอล์ฟวัย 24 ปี กล่าวถึงเป้าหมายในฤดูกาลนี้ว่า การครองแชมป์ทำเงินรางวัลสูงสุดหรือออร์เดอร์ ออฟ เมอริต คือเป้าหมายอันดับ ของผมในปีนี้ นั่นคือสิ่งที่ผมโฟกัส แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถขยับอันดับได้สูงขึ้นอีกแค่ไหน”

           

ทั้งนี้ในการแข่งขัน รายการแรกของเอเชียนทัวร์ ในฤดูกาล 2023 โอกลีทรี ทำผลงานจบอันดับ ในรายการพีไอเอฟ ซาอุดิ อินเตอร์เนชันแนล พาวเวอร์ดบาย ซอฟท์แบงก์ อินเวสต์เมนท์ แอดไวเซอร์ส ตามด้วยอันดับ ร่วมรายการอินเตอร์เนชันแนล ซีรีส์ โอมาน จากนั้นมาคว้าแชมป์อินเตอร์เนชันแนล ซีรีส์ กาตาร์ ที่สนามโดฮา กอล์ฟคลับ โดยใน รายการหลังสุดของเขา สามารถจบใน 10 อันดับแรก รายการและคว้าแชมป์ รายการ

           

ความสำเร็จในการคว้าแชมป์ที่กาตาร์ ทำให้โอกลีทรีกลายเป็นนักกอล์ฟคนแรกที่ได้แชมป์อินเตอร์เนชันแนล ซีรีส์ รายการ หลังจากชนะเลิศรายการอินเตอร์เนชันแนล ซีรีส์ ที่อียิปต์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

           

สำหรับการแข่งขันที่สนามแบล็คเมาน์เท่น ในอีกสัปดาห์ข้างหน้า โอกลีทรีลุ้นทำสถิติคว้าแชมป์อินเตอร์เนชั่นแนล  ซีรีส์ รายการที่ ซึ่งเป็นการการลงเล่นในเวทีเอเชียนทัวร์รายการที่ 10 ของเขา แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีคู่แข่งฝีมือดีระดับแชมป์เอเชียและเวทียุโรปร่วมชิงชัยคับคั่ง นำโดย สดมภ์ แก้วกาญจนา นักกอล์ฟมือหนึ่งของไทย มืออันดับ 75 ของโลก, นิติธร ทิพย์พงษ์ และ แจ๊ส-อติวิชญ์ เจนวัฒนานนท์ รวมถึง พชร คงวัดใหม่ ซึ่งทำผลงานหวด 24 อันเดอร์พาร์ จบที่อันดับสอง ตามหลัง ซีวาน คิม แชมป์ชาวอเมริกัน สโตรกเมื่อปีที่แล้ว

           

ทางด้านกัญจน์ เจริญกุล ซึ่งได้รองแชมป์ที่กาตาร์ ยืนยันจะร่วมชิงชัยที่หัวหินเช่นกัน รวมถึงสองโปรกอล์ฟชาวสวีเดนที่ได้รับการสนับสนุนจากสนามแบล็คเมาน์เท่นอย่าง โยฮัน เอ็ดฟอร์ดส์ และริคาร์ด คาร์ลเบิร์ก โดยเอ็ดฟอร์ดส์ หลังจากคว้าแชมป์รายการแบล็คเมาน์เท่น มาสเตอร์ส ในปี 2009 เขาได้ซื้อวิลล่า ณ สนามแห่งนี้ และมาใช้บริการเป็นประจำ

           

ทั้งเอ็ดฟอร์ส และคาร์ลเบิร์ก เป็นผู้เล่นที่คุ้นเคยกับสนามแบล็คเมาน์เท่น มีโอกาสลุ้นคว้าแชมป์ เช่นเดียวกับ โปรแจ๊ส, บียอร์น เฮลเกรน และเซบาสเตียน โซเดอร์เบิร์ก จากสวีเดน รวมถึงแบร์รี่ เฮนสัน รองแชมป์อินเตอร์เนชันแนล ซีรีส์ โอมาน

           

ขณะที่โปรกอล์ฟจอมเก๋าชื่อดังของไทยและดาวดังเอเชียนทัวร์อย่าง ถาวร วิรัตน์จันทร์, ประหยัด มากแสง, ชัพชัย นิราช จะร่วมชิงชัยในสัปดาห์หน้าด้วยเช่นกัน รวมถึง โจวติ รันดาวา และจีฟ มิลก้า ซิงห์ สองนักกอล์ฟจากอินเดีย เหลียง เหวินซอง จากจีน, มาร์ดาน มามัต จากสิงคโปร์, แองเจโล่ เค จากฟิลิปปินส์ และมาร์คัส เฟรเซอร์ จากออสเตรเลีย

           

นอกจากนี้ยังมีนักกอล์ฟสมัครเล่นคนดังของไทยอย่าง ทีเค-รัชชานนท์ ฉันทนานุวัฒน์ ร่วมแข่งขันเป็นปีที่สอง โดยผลงานเมื่อปีที่แล้ว ทีเค จบอันดับ 11 ร่วม และหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ก็ประกาศศักดาคว้าแชมป์รายการ ทรัสต์ กอล์ฟ เอเชียน มิกซ์ คัพ กลายเป็นนักกอล์ฟอายุน้อยที่สุดที่ชนะเลิศรายการเอเชียนทัวร์ในวัย 15 ปี 37 วัน

 

“สกาย กรุ๊ป” ประกาศความสำเร็จปี 65 โกยกำไรสุทธิ 209 ล้านบาท โตพุ่ง 280% เชื่อปี 66 ท่องเที่ยวกระฉูดดันโปรเจกต์เกี่ยวกับสนามบินโต เล็งขยายธุรกิจเสริมแกร่งองค์กร

 


สกาย กรุ๊ป” กางผลประกอบการปี 2565 คว้ารายได้ 2,800 ล้านบาท กวาดกำไรสุทธิ 209 ล้านบาท โตทะลุ 280% หลังท่องเที่ยวคึกคัก ยอดผู้โดยสารเข้า-ออกประเทศทะลัก ดันรายได้จากโครงการเกี่ยวกับสนามบินพุ่ง ตุนแบ็กล็อกแกร่ง 22,200 ล้านบาท เชื่อมั่นปี 2566 แรงส่งจากท่องเที่ยวพลิกฟื้นเต็มที่ คาดยอดผู้โดยสารเฉลี่ยสูงถึงวันละ 180,000 คน หนุนธุรกิจเทคโนโลยีบริการภายในสนามบิน พร้อมติดเครื่องธุรกิจบริการด้านความปลอดภัยอัจฉริยะ-แพลตฟอร์มดิจิทัล-ระดมกำลังขยายธุรกิจสร้างความแข็งแกร่งต่อเนื่อง 

 

นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป (SKY Group) เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินงานปี 2565 (ม.ค.-ธ.ค. 65) บริษัทสามารถทำรายได้ทั้งหมด 2,800 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 209 ล้านบาท เติบโตขึ้น 280% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (YoY%) โดยบริษัทสามารถสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ เนื่องจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลก และยอดผู้โดยสารเดินทางเข้า-ออกประเทศเฉลี่ย 70,000 คน/วัน ส่งผลให้รายได้จากโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับท่าอากาศยาน อาทิ ระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Passenger Processing System: CUPPS) และโครงการการให้บริการระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้า (APPS) เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง  

 

ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2565 บริษัทได้เข้าทำสัญญาและมีงานที่รอส่งมอบตามสัญญาในอนาคต (Backlog) อยู่ทั้งสิ้นประมาณประมาณ 22,200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยสร้างการเติบโตให้กับสกาย กรุ๊ปอย่างต่อเนื่อง 

 

นายสิทธิเดช กล่าวอีกว่า ในช่วงไตรมาส 1/2566 นั้น นอกจากการรับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ ที่จะทยอยรับรู้ต่อเนื่องแล้ว การฟื้นตัวเต็มรูปแบบของการท่องเที่ยวไทยจะช่วยหนุนการดำเนินงานของสกาย กรุ๊ปให้เติบโตอย่างมั่นคง โดยเฉพาะหลังสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศในช่วงต้นปี ทำให้ยอดผู้โดยสารเดินทางเข้า-ออกประเทศเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด เห็นได้จากข้อมูลของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 8-31 ม.ค. ที่ผ่านมา มีผู้โดยสารเดินทางเข้า-ออกผ่านทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฉลี่ย 138,287 คนต่อวัน หรือฟื้นตัวสูงถึง 317% จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2565 ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จนอาจจะทำให้ทั้งปีนี้มีจำนวนเฉลี่ยถึงวันละ 180,000 คน ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจเทคโนโลยีด้านการบริการภายในท่าอากาศยานของบริษัท รวมถึงแอปพลิเคชัน SAWASDEE by AOT ได้เป็นอย่างดี 

 

ขณะเดียวกัน สกาย กรุ๊ป พร้อมจะเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจกลุ่มอื่นๆ อาทิ เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ พลตฟอร์มดิจิทัล ไปจนถึงการขยายสู่ธุรกิจเทคโนโลยีด้านต่างๆ ในอนาคตที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง 

 

“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เรายังคงรักษาการเติบโตได้อย่างมั่นคงแม้ต้องเผชิญกับ COVID-19ในปี 2566 นี้ สกาย กรุ๊ปจึงระดมสรรพกำลัง ทั้งด้านเทคโนโลยีและบุคลากรให้พร้อมรับมือกับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ แล้ว เรายังมีแผน Business Expansion ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้องค์กร รองรับการขยายตัวในอนาคต” นายสิทธิเดช กล่าว 

 

#SKY #SKYICT #SKYGROUP #สกายไอซีที #สกายกรุ๊ป 

 

สำหรับบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำในประเทศไทยที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบิน การรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ และแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยบริษัทมุ่งเดินหน้าให้บริการโซลูชันใหม่ๆ ให้สอดรับกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน พร้อมช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และส่งมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุดให้กับผู้โดยสารผ่านบริการต่างๆ อาทิ การรวมระบบ แอปพลิเคชัน ระบบรักษาความปลอดภัย และบริการอำนวยความสะดวกภายในท่าอากาศยาน  

เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ร่วมสนับสนุนพื้นที่จัดงาน “สร้างภูมิคุ้มกัน ด้วยวิทยาศาสตร์และ CODING”

 


นางสาวพุทธชาด ศรีนิศากร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการตลาด บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน)  (ที่  จากซ้าย) ให้การต้อนรับ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี (ที่ 6 จากซ้าย)  ที่ให้เกียรติมาเป็นประธาน พร้อมด้วย ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ที่ จากซ้าย) และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงศึกษาธิการ ในพิธีเปิดงาน “สร้างภูมิคุ้มกัน ด้วยวิทยาศาสตร์และ CODING” ณ ลานกิจกรรม Avenue A  ชั้น ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้

ภารกิจจักรวาลเอเชียทัวร์ MU 2022 Asia Tour ครั้งแรกของ 3 สาวงาม Miss Universe 2022

 


จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับภารกิจจักรวาลเอเชียทัวร์ MU 2022 Asia Tour ครั้งแรกของ 3 สาวงาม Miss Universe 2022 โดย คุณแอนจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ CEO บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และเจ้าขององค์กรมิสยูนิเวิร์ส นำทัพสาวงามมิสยูนิเวิร์ส  R'BONNEY GABRIEL อาร์บอนนีย์ เกเบรียล  Miss Universe 2022 ANDREÍNA MARTÍNEZ เอเดรียน่า มาติเนซ รองอันดับ 2 Miss Universe 2022  จากสาธารณรัฐโดมินิกันและ GABRIËLA DOS SANTOS  แกเบรียลา โดส ซานโตส Top 5 Miss Universe 2022 จากคูราเซา เยือนประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม

            ภารกิจหลักของสาวงามทั้งสามในการเยือนแต่ละประเทศ คือ การเป็นทูตทางวัฒนธรรม ช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมอันดีงามของประเทศต่าง ๆ ที่ไปเยือน สู่สายตาชาวโลกหลายล้านคน รวมถึงการทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมและการเข้าพบผู้นำสำคัญของประเทศและเมืองนั้น ๆ เช่น การเข้าพบนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาการได้ใส่ชุดไทยเยี่ยมชมวัดอรุณฯ , การนั่งตุ๊กตุ๊กชมเมืองบริเวณพระบรมมหาราชวัง การได้ลองลิ้มรสอาหารไทยที่ร้านชมอรุณ และการเป็นวิทยากรให้ความรู้นักศึกษาสาขาแฟชั่นและดีไซน์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นต้น

สำหรับการมาเยือนประเทศมาเลเซียทั้งสามสาวได้เข้าเยี่ยมเด็ก ๆ ที่สมาคมผู้พิการทางสายตาของประเทศมาเลเซีย และเป็นตัวแทนของ องค์กรมิสยูนิเวิร์สมาเลเซีย มอบเงินช่วยเหลือสมาคมผู้พิการทางสายตา รวมเป็นจำนวนเงินประมาณ 60,000 บาท  และได้ลองระบายสีผ้าบาติก ที่เป็นผ้าที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศมาเลเซียอีกด้วย และทั้งสามสาวยังได้ไปชมวิวของเมืองกัวลาลัมเปอร์บนตึกแฝด Twin Towers สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศมาเลเซียอีกด้วย

นอกจากนี้ทั้งสามสาวมิสยูนิเวิร์สได้เดินทางต่อไปยังเมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และได้แต่งกายด้วยชุด เคบาย่า ซ็องเกท ซึ่งเป็นชุดพื้นเมืองของชาวบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเข้าพบกษัตริย์แห่งเมืองอูบุด Tjokorda Putra Sukawati ของบาหลี ก่อนที่จะไปเยี่ยมเด็ก ๆ ผู้ป่วยโรคมะเร็งในเขตบาหลี และเป็นตัวแทนขององค์กรมิสยูนิเวิร์สอินโดนีเซียมอบเงินสนับสนุนให้กับมูลนิธิดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง มูลนิธิดูแลคนชรา และเป็นทุนการศึกษาให้เด็กที่สนใจศึกษาต่อทางด้านการแพทย์

มาทางด้านประเทศเวียดนาม โดย อาร์บอนนีย์ และ เอเดรียน่า ได้แต่งชุดอ๋าวหญ่าย นั่งรถชมความงดงามของเมืองโฮจิมินห์

นอกจากนี้ทั้งสามสาวมิสยูนิเวิร์ส และ คุณแอนจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ CEO บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และเจ้าขององค์กรมิสยูนิเวิร์ส ได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการแถลงข่าว และการเข้าร่วมเลี้ยงฉลองผู้ถือลิขสิทธิ์ใหม่มิสยูนิเวิร์สคนใหม่ของประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และ เวียดนามอีกด้วย

ทุกประเทศที่ไปเยือนสาวงามมิสยูนิเวิร์สได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากแฟน ๆ จากประเทศนั้น ๆ สร้างความประทับใจและความทรงจำที่ดีกับทั้งสามสาวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับมิสยูนิเวิร์สโดมินิกันและมิสยูนิเวิร์สคูราเซา ที่ได้มาเยือนประเทศในแถบเอเชียเป็นครั้งแรก 


“ต้อนรับฤดูร้อนด้วยข้าวแช่เลิศรสแบบดั้งเดิม ณ ห้องอาหารสยาม ที รูม”

 


กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, 28 กุมภาพันธ์ 2566 โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค ขอเชิญทุกท่านมาต้อนรับฤดูร้อนและเติมความสดชื่นด้วยเมนูไทยคลาสสิคอย่าง ข้าวแช่ ณ ห้องอาหารสยาม ที รูม ตลอดเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พ.ศ. 2566

 

ข้าวแช่เป็นอาหารพื้นบ้านของชาวมอญ ก่อนจะถูกปรุงแต่งให้วิจิตรบรรจงยิ่งขึ้นโดยห้องเครื่องสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2411-2453)

 

วิธีการรับประทานข้าวแช่ตามประเพณี เริ่มต้นด้วยการทานเมนูเรียกน้ำย่อยอย่างแตงโมปลาแห้งที่คัดสรรเนื้อแตงโมหวานฉ่ำโรยด้วยน้ำตาลและหอมเจียว อีกทั้งยังเสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มลิ้นจี่มะนาวโซดาเพื่อเพิ่มความซ่าสดชื่น ต่อด้วยการรับประทานข้าวแช่ ที่อบขวันเทียนจนมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์โรยด้วยดอกมะลิและกลีบกุหลาบมอญ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงรสโอชาอย่างลูกกะปิ พริกหยวกสอดไส้ หอมแดงยัดไส้ปลา หมูฝอย ปลายี่สนผักหวาน ไชโป๊ผัด อัญชันยัดไส้กุ้ง ไข่เค็ม และผักสดแนม โดยเครื่องเคียงให้รับประทานสลับกับข้าวแช่เป็นคำๆ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การรับประทานข้าวแช่แบบดั้งเดิมให้อร่อยมากยิ่งขึ้น เมนูพิเศษตามฤดูกาลจะถูกเสิร์ฟในภาชนะเครื่องแก้วสุดหรู พร้อมเครื่องเคียงสุดคลาสสิกที่จะทำให้ทุกท่านคลายร้อนในฤดูร้อนนี้

 

ลิ้มรสข้าวแช่แบบดั้งเดิมได้ทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 31 พฤษภาคม 2566 เวลา 11:30 – 17:00 น. ที่ห้องอาหารสยาม ที รูม ในราคาชุดละ 690 บาทสุทธิ หรือสั่งกลับบ้านชุดเล็กสำหรับหนึ่งท่านชุดละ 890 บาทสุทธิและชุดใหญ่สำหรับสองท่าน ในราคาชุดละ 1,290 บาทสุทธิ สมาชิกแมริออท บอนวอยและคลับแมริออทรับส่วนลดตามสิทธิ์หน้าบัตร

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่ง กรุณาโทร 02 059 5999 หรืออีเมลrestaurant-reservations.bkkqp@marriotthotels.com หรือหรือสำรองที่นั่งผ่าน  http://sevn.ly/xaSviax9

 

หรือติดต่อเราผ่านช่องทางเหล่านี้

เว็บไซต์:                                      www.siamtearoom.com

เฟสบุ๊ก:                                       https://www.facebook.com/siamtearoom   

หรือเพิ่มเราเป็นเพื่อนในไลน์             @siamtearoom


ที ลีสซิ่ง จับมือ ศรีประจันต์วัฒนยนต์ จัดอบรม "ขับขี่ปลอดภัย ร่วมใจลดมลพิษ" โรงเรียนสงวนหญิง จ.สุพรรณบุรี

  บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด  ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้ อรถจักรยานยนต์  ในเครือ เอ็ม บี เค  เล็งเห็นความสำคัญของการขับขี่ รถบนท้องถนนอย่างปลอ...