กาแฟแก้วโปรดของคุณเป็นแบบไหน ? เชื่อว่าใครหลายคนต่างหลงใหลในรสชาติขมแต่กลมกล่อมหอมกรุ่นของเครื่องดื่มสีเข้ม จนยกให้เป็นเมนูเพิ่มพลังกายพลังใจในระหว่างวัน ที่แค่ได้กลิ่นและลิ้มรสก็จุดประกายความสุขได้แล้ว และแม้ว่าต่างคนจะมีแก้วโปรดที่แตกต่างกันไป แต่เหนือสิ่งอื่นใด การได้จิบกาแฟคุณภาพเยี่ยมรสชาติดี นับได้ว่าเป็นที่ปรารถนาของคนรักกาแฟทุกคน โดยเฉพาะกาแฟพิเศษที่เรียกว่า Specialty Coffee ที่ไม่ใช่เพียงเครื่องดื่มประจำวัน แต่ให้สุนทรีย์ทางรสชาติมากกว่านั้น
เมล็ดกาแฟไทย พิเศษได้ไม่แพ้ที่ไหน
แต่ไหนแต่ไรมา คอกาแฟบ้านเรามักจะมองว่ากาแฟพิเศษต้องมาจากแหล่งปลูกในต่างประเทศ แต่แท้จริงแล้ว Specialty Coffee คือกาแฟที่ใส่ใจอย่างดีในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การดูแลต้น เก็บเกี่ยวผลเชอร์รี่ แปรรูปเป็นสารคุณภาพดี บ่มในระยะเวลาที่เหมาะสม จนถึงคั่ว บด กลั่นอย่างพิถีพิถัน อาจจะมีขั้นตอนในการแปรรูปด้วยเทคนิคพิเศษ เพื่อให้ได้กาแฟที่มีกลิ่นและรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะมอบความรู้สึกในการจิบที่ต่างออกไป
ในประเทศไทยมีแหล่งปลูกและผลิตกาแฟ Specialty Coffee ซ่อนอยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือ “ดอยช้าง” ในอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย แหล่งปลูกกาแฟระดับโลกที่ส่งออกเมล็ดกาแฟอาราบิกาคุณภาพเยี่ยมไปสร้างความประทับใจให้คอกาแฟมาแล้วทั่วโลก อัตลักษณ์ของเมล็ดกาแฟจากดอยช้างคือรสชาติที่ดีมีกลิ่นหอมละมุนละไม ไม่ซ้ำแบบใคร ซึ่งเป็นผลมาจากการปลูกในพื้นที่สูงและอากาศเย็นตลอดทั้งปี เหมาะต่อการเจริญเติบโตของกาแฟสายพันธุ์อาราบิกา แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความใส่ใจในทุกขั้นตอนของเกษตรกรดอยช้างที่สั่งสมประสบการณ์ด้านการปลูกและผลิตกาแฟมานาน ผ่านการเรียนรู้เองจนเข้าใจการทำกาแฟอย่างลึกซึ้ง และถ่ายทอดเคล็ดลับวิชาจากรุ่นก่อนมายังรุ่นปัจจุบันให้พิถีพิถันในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การบำรุงดิน ดูแลต้น ไปจนถึงการผลิตสารกาแฟที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ
“คนดอยช้างปลูกกาแฟมา 30 กว่าปี ผมเกิดมาก็มีไร่กาแฟอยู่แล้ว สายพันธุ์หลักของกาแฟที่นี่คือเชียงใหม่ 80 กับคาติมอร์ ที่ให้เมล็ดเกรดเอ โดยกระบวนการผลิตของเราเน้นคุณภาพและความสะอาดเป็นหลัก เวลาเก็บเกี่ยวเราจะเก็บเฉพาะผลเชอร์รี่ที่สุกเท่านั้น นำมาคัดเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ออก ก่อนเข้าสู่กระบวนการแปรรูปแบบ Fully Washed มาตรฐาน ซึ่งปกติแล้วกาแฟจะเก็บได้ปีละครั้ง ฤดูกาลเก็บเกี่ยวคือช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ จากนั้นเกษตรกรจะดูแลและบำรุงต้น ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นพืชที่ดูแลง่าย แต่ก็ต้องเอาใจใส่ คอยตัดแต่งกิ่งและทำความสะอาดสวน รวมถึงบำรุงดินเสมอ เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด เพราะผมเชื่อว่าถ้าเราส่งสิ่งที่ดีที่สุดออกไปตั้งแต่ต้นน้ำ ปลายน้ำก็จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเช่นกัน” ดนุเดช แซ่ดู่ ตัวแทนเกษตรกร ถ่ายทอดเรื่องราวของเมล็ดกาแฟจากดอยช้าง ต้นทางของเครื่องดื่มแก้วพิเศษที่หลายคนติดใจในกลิ่นและรส ซึ่งนอกจากดอยช้าง อีกหนึ่งแหล่งปลูกกาแฟที่ให้เมล็ดกาแฟคุณภาพดี รสชาติถูกใจผู้ชื่นชอบกาแฟ คือสวนยาหลวง บ้านสัญเจริญ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน พื้นที่ปลูกกาแฟที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากดอยช้าง และมีกระบวนการผลิตกาแฟด้วยความใส่ใจอย่างที่สุดไม่ต่างกัน
จากแรงบันดาลใจ สู่ Specialty Coffee ไทยแท้
ด้วยคุณภาพที่เกิดจากความใส่ใจตั้งแต่ต้นน้ำของเมล็ดกาแฟไทย ก่อนหน้านี้ THE COFFEE CLUB ร้านกาแฟแบบ All-Day Breakfast สัญชาติออสเตรเลีย ที่ผูกพันและคุ้นเคยกับคนไทยมากว่า 10 ปี จึงคัดสรรเมล็ดกาแฟอาราบิกาจากดอยช้าง แหล่งปลูกกาแฟระดับโลกของไทย มาต่อยอดเป็น Siam Blend กาแฟคั่วเข้ม ที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ เสิร์ฟทั้งแบบร้อนและเย็นภายในร้าน จนกลายเป็นกาแฟแก้วโปรดของคนรักกาแฟหลายคน และด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจของเมล็ดกาแฟไทย ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่อยากให้ผู้หลงใหลในรสชาติแปลกใหม่ได้ลิ้มลอง Specialty Coffee จากเมล็ดกาแฟไทยแท้บ้าง ฤดูกาลนี้ THE COFFEE CLUB จึงสร้างสรรค์เป็น Festive Series Coffee Drip Bags กาแฟดริปแบบซองที่จะพาบรรดาคอกาแฟไปทำความรู้จักกับกลิ่นและรสของกาแฟจากแหล่งปลูกที่ดีที่สุดของไทยด้วย 3 สูตรพิเศษ ทั้ง Siam Blend, Anaerobic และ Black Honey ผ่านเสน่ห์ของการชงแบบ Pour Over ที่ค่อย ๆ รินน้ำร้อนลงบนเมล็ดกาแฟบดละเอียด ให้ไหลผ่านฟิลเตอร์ สกัดกลิ่นและรสหยดลงไปในแก้ว ทำให้ได้กาแฟเข้มข้นเต็มรสชาติ ซึ่งนับเป็นศาสตร์การชงที่เหมาะต่อการลิ้มรส Specialty Coffee มากที่สุด
หากอยากสัมผัสกลิ่นและรสต้นฉบับกาแฟจากภาคเหนือของไทย Siam Blend คือตัวแทนรสชาติกาแฟไทยที่ถูกปากนักจิบกาแฟบ้านเรา และถูกใจคอกาแฟผู้นิยมรสเข้ม ความพิเศษของ Coffee Drip Bags สูตรนี้อยู่ที่การนำเมล็ดคุณภาพจากดอยช้างมาเพิ่มความกลมกล่อมด้วยการเบลนด์เข้ากับเมล็ดคัดพิเศษจากสวนยาหลวง จังหวัดน่าน ซึ่งผ่านกระบวนการแปรรูปแบบ Washed Process แล้วนำมาคั่วในระดับกลางค่อนเข้ม (Medium to Dark) ด้วยเทคนิคที่ยังคงกลิ่นหอมเฉพาะตัวและชูรสอันเป็นเอกลักษณ์ บดละเอียดเพื่อให้เหมาะต่อการดริปโดยเฉพาะ เมื่อค่อย ๆ รินน้ำร้อนลงไปจะได้กลิ่นละมุนชวนหลงใหล ก่อนสัมผัสได้ถึงความหอมแบบช็อกโกแล็ตปนคาราเมลเมื่อลิ้มรส แต่ยังคงความสดชื่นแบบฟรุตตี้ที่เปรี้ยวนิด ๆ ในตอนปลายตามแบบฉบับของกาแฟอาราบิกาแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าหากคนรักกาแฟได้ลองชิมจะต้องยิ้มด้วยความพึงพอใจในกลิ่นและรสของสยามเบลนด์ตั้งแต่แรกจิบ
นอกจากกระบวนการผลิตกาแฟแบบมาตรฐาน Washed Process เกษตรกรทั้งที่ดอยช้างและน่าน ยังพัฒนา Specialty Coffee รูปแบบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มตัวเลือกให้กับนักดื่มกาแฟผู้นิยมกาแฟพิเศษ ที่น่าจะถูกใจคอกาแฟผู้พิสมัยรสชาติแปลกใหม่คือ Anaerobic Process ซึ่งประยุกต์มาจากการหมักไวน์ โดยใส่ผลเชอร์รี่กาแฟที่คัดสรรอย่างดีเฉพาะเมล็ดที่สุกฉ่ำจากต้นกาแฟอายุมากกว่า 30 ปี ลงไปในถังควบคุมอากาศ ดึงออกซิเจนออกจนหมด ให้ภายในอัดแน่นด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ หมักทิ้งไว้นาน 2 ถึง 4 วัน จึงจะนำออกมาผึ่งไล่ความชื้น แล้วบ่มจนได้ที่ สีเป็นสารกาแฟแล้วบ่มอีกครั้งนานอย่างน้อย 2-3 เดือน ก่อนนำไปคั่วแบบอ่อน เพื่อคงกลิ่นและรสที่ชัดเจนเอาไว้ “ผมอยู่กับกาแฟมาตั้งแต่เด็ก จึงใช้ประสบการณ์มาทดลองทำเอง ลองผิดลองถูกกว่า 4 ปี จนได้เป็นกาแฟ Anaerobic ที่สมบูรณ์แบบ ที่อื่นอาจจะมี Anaerobic Process เหมือนกัน แต่วิธีของผมแตกต่าง ให้รสชาติที่ดีไม่เหมือนที่ไหน” พงศ์พัทธ์ วิมลสวรรค์กุล เกษตรกรเจ้าของสูตร เผยความลับของ Anaerobic ในกล่อง ‘Festive Series Coffee Drip Bags’ By THE COFFEE CLUB ที่ทำให้ได้กลิ่นหมักอ่อน ๆ หอมนวลคล้ายชาดอกไม้ และรสชาติที่มีความฟรุตตี้ เปรี้ยวสดชื่น รู้สึกมีชีวิตชีวา
ไม่ต่างจาก Anaerobic กาแฟ Black Honey จากบ้านสัญเจริญ จังหวัดน่าน ก็ผ่านการทดลองมาหลายรูปแบบ จนค้นพบวิธีที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้มาซึ่งเมล็ดกาแฟพิเศษที่หอมหวานยิ่งกว่ากาแฟแบบ Semi-Dry Process ทั่วไป หัวใจหลักของการทำกาแฟชนิดนี้ คือการนำผลเชอร์รี่กาแฟไปปอกเปลือกออก แล้วนำเมล็ดกาแฟที่ยังมีเยื่อหุ้มติดอยู่ไปผึ่งตาก โดยควบคุมไม่ให้โดนแดดมากจนเกินไปและคอยพลิกเมล็ดกาแฟอยู่เสมอ เพื่อให้ความหวานจากน้ำตาลในเยื่อหุ้มค่อย ๆ ซึมเข้าในเมล็ดและเกิดการหมักในตัว ประมาณ 2 วัน จึงนำออกไปตากแดดปกติ จนเนื้อเยื่อหรือเมือกแห้งเป็นสีดำเคลือบอยู่บนผิวกะลา เมื่อนำไปสีจะได้เมล็ดกาแฟสีน้ำตาลไหม้เหมือนน้าผึ้ง จึงมีชื่อเรียกว่า Black Honey ที่คงความหวานของเมล็ดกาแฟไว้ได้มากที่สุด เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด ‘Festive Series Coffee Drip Bags’ By THE COFFEE CLUB จึงเลือกใช้การคั่วอ่อน ซึ่งเพียงแค่เปิดซองก็จะได้กลิ่นเย้ายวนชวนให้อยากลิ้มลอง ยิ่งรินน้ำร้อนลงไป ความหอมคล้ายผลไม้สุกและคาราเมลจะโชยแตะจมูก และเมื่อจิบชิมจะได้รสชาติหวานนุ่มนวลแทรกด้วยความฟรุตตี้เบา ๆ ที่ปลายลิ้น
“การทำ Anaerobic และ Black Honey ค่อนข้างทำยากและต้องใส่ใจเป็นพิเศษ จึงไม่ได้มีบ่อยๆ” คำบอกเล่าของพงศ์พัทธ์ ยืนยันว่าด้วยกรรมวิธีการทำที่ต้องดูแลเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันและทุ่มเท จึงทำให้กาแฟที่ผ่านการแปรรูปด้วยวิธีนี้เป็นของดีหายาก พบได้ไม่มากนัก ฤดูกาลหนึ่งมักจะได้ผลผลิตในจำนวนจำกัด ซึ่งส่วนหนึ่งถูกนำมาส่งมอบความพิเศษผ่าน ‘Festive Series Coffee Drip Bags’ By THE COFFEE CLUB ที่คนรักกาแฟไม่ควรพลาด
ทุกจิบคือรสชาติกาแฟไทย ทุกแก้วสนับสนุนเกษตรกรให้ยั่งยืน
ความสุขจากกาแฟ Specialty Coffee ของ ‘Festive Series Coffee Drip Bags’ By THE COFFEE CLUB คือการได้ละเลียดกับช่วงเวลาที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอโรมาหอมกรุ่นและรสชาติที่จะทำให้ตกหลุมรัก ด้วยขั้นตอนการชงไม่ยุ่งยาก เพราะบรรจุมาในซองดริป ที่เพียงแค่แกะแล้วรินน้ำร้อนอย่างพอเหมาะ ก็ได้ความเพลิดเพลินใจในแบบเฉพาะตัวของกาแฟดริปแล้ว ทั้งยังสามารถพกพาไปดื่มด่ำกับความพิเศษของเมล็ดกาแฟไทยแท้ได้สะดวกสบายในทุกที่ทุกเวลา และไม่เพียงแค่ความสุขจากรสสัมผัสทางกาย Specialty Coffee ไทยจาก THE COFFEE CLUB ยังให้ความสุขทางใจ ด้วยการมีส่วนร่วมสนับสนุนให้เกษตรกรมีรายได้และแรงใจในการพัฒนากาแฟไทยให้ดียิ่งขึ้น เพราะปลายทางของรสชาติที่ยอดเยี่ยมในแก้วกาแฟ ย่อมมาจากต้นน้ำที่ดีตั้งแต่การเพาะปลูก เก็บเกี่ยว และแปรรูปของเกษตรกรต้นน้ำ
“การมีแหล่งรับซื้อกาแฟที่ดี ทำให้ชีวิตของผม พี่น้องผม และชาวบ้านที่นี่ดีขึ้น โดยเฉพาะการทำกาแฟ Specialty Coffee ที่ได้ราคาดี ทำให้เรามีทางเลือกในการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตของเรามากขึ้น” ดนุเดช หนึ่งในเจ้าของไร่กาแฟบอกเล่าด้วยรอยยิ้ม ซึ่งเป็นตัวแทนสะท้อนถึงความสุขของเกษตรกรในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ พงศ์พัทธ์ นักพัฒนาสูตรแปรรูปกาแฟแห่งดอยช้างที่มองว่า การต่อยอด Specialty Coffee จากเมล็ดกาแฟไทย เป็นการเปิดประตูให้คนไทยที่รักกาแฟ ได้รู้จักและมองเห็นศักยภาพของกาแฟไทยมากขึ้น ทำให้เขามีกำลังใจที่จะพัฒนากาแฟไทยต่อไปด้วย “หากมองตามความเป็นจริง การยอมรับของ Specialty Coffee ไทยในบ้านเราอาจจะยังมีไม่มาก ดังนั้นการนำกาแฟพิเศษไปต่อยอดให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น จึงช่วยสร้างคุณค่าให้กับกาแฟไทย ทำให้ผมและคนทำกาแฟมีกำลังใจที่จะคิดและพัฒนากาแฟไปเรื่อย ๆ” เขากล่าว
นอกจากนี้ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของเมล็ดกาแฟจากดอยช้าง จังหวัดเชียงราย และบ้านสัญเจริญ จังหวัดน่าน คือการทำเกษตรแบบยั่งยืนที่อิงแอบพึ่งพาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเกษตรกรต่างเรียนรู้และเข้าใจผ่านประสบการณ์ที่สั่งสมมานานตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ จนมาถึงรุ่นลูก เกษตรกรรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ที่ยังคงดูแลและบำรุงรักษาต้นกาแฟ ควบคู่กับการใส่ใจคุณภาพดิน คุณภาพน้ำ และคุณภาพอากาศ เพื่อให้ผลผลิตเติบโตในสภาพแวดล้อมและบริบทที่เหมาะสม อันจะนำมาซึ่งรสชาติที่ดีมีเอกลักษณ์ โดยเฉพาะการผลิตกาแฟแบบ Specialty Coffee ที่ยิ่งต้องใส่ใจในทุกกระบวนการอย่างรอบด้านเพื่อให้เกิดความยั่งยืน การสนับสนุนกาแฟไทยในพื้นที่ปลูกที่มีคุณภาพ จึงไม่เพียงสร้างรายได้ให้เกษตรกรและคนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังเป็นการสนับสนุนความยั่งยืนในอีกมุมหนึ่งด้วย
ดังนั้นคงไม่ใช่การกล่าวเกินจริงหากจะบอกว่า Coffee Drip Bags ของ THE COFFEE CLUB คือความสุขที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ง่าย ๆ ผ่านกาแฟแก้วพิเศษ ที่ทุกจิบคือรสชาติกาแฟไทย และทุกแก้วคือการสนับสนุนเกษตรกรให้ยั่งยืน ซึ่งหากอยากเปิดใจให้กับ Specialty Coffee ไทย เพื่อค้นพบความลงตัวที่แตกต่าง ก็สามารถหา ‘Festive Series Coffee Drip Bags’ By THE COFFEE CLUB มาลองดริปกันได้ ที่ร้าน เดอะ คอฟฟี่ คลับ ทุกสาขาทั่วประเทศ ในราคากล่องละ 290 บาท (1 กล่องมี 6 ซอง) หรือหากคอฟฟี่เลิฟเวอร์ที่ต้องการลองดื่ม Coffee Drip แต่ละสูตรสามารถซื้อแยกซองได้ในราคาซองละ 60 บาท สุดพิเศษซื้อ 3 ซองได้ในราคาเพียง 150 บาทเท่านั้น และยิ่งในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แบบนี้ยังสามารถเลือกซื้อเป็นของขวัญได้อีกด้วย ดังนั้นคนรักกาแฟจึงไม่ควรพลาดที่จะดื่มด่ำไปกับความพิเศษนี้ด้วยประการทั้งปวง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น