“ถิรไทย” หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า เดินหน้าเร่งผลงานไม่หยุด หลังกระโดดลงชิงงานเพิ่ม 1.14 หมื่นล้าน คาดตั้งเป้าคว้าได้ 25% ด้านผู้บริหารใหญ่ "สัมพันธ์ วงษ์ปาน" แย้มภาพธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าปีหน้าเริ่มสดใส หลังซบหนักมา 2 ปี เพราะโควิด พร้อมตุนแบ็กล็อกในมือแล้ว 1,323 ล้านบาท ส่งมอบปีนี้ 475 ล้านบาท และปีหน้าอีก 848 ล้านบาท ทั้งยังสร้างสมดุลยอดขายบริษัทของงานภาครัฐ, ภาคเอกชน และส่งออกเท่าๆ กัน คาดปี 65 จะรับรู้รายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาท
นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมด้านเกี่ยวกับพลังงานรายใหญ่ของประเทศ เพื่อผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (made to order) เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมของบริษัทฯ ในปีนี้ก็ยังเป็นไปตามความผันผวนของสถานการณ์เศรษฐกิจของโลก รวมถึงราคาวัตถุดิบ แต่ถึงอย่างไร บริษัทฯยังคงสามารถรักษามาตรฐานในการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าที่มีคุณภาพ ด้วยฝีมือคนไทยได้อย่างมั่นคง และปี 65 บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ประมาณ 2,079 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจหม้อแปลง (Transformer) 1,765 ล้านบาท และธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง (Non-Transformer) อาทิ รถกระเช้า, รถเครน, ถังหม้อแปลงไฟฟ้า, แบตเตอรีลิเธียม อีกราว 314 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมีงานที่อยู่ระหว่างการติดตาม ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2565 รวมประมาณ 1.14 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นงานภาครัฐ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 1,900 ล้านบาท, การไฟฟ้านครหลวง 2,300 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิต 1,970 ล้านบาท และงานเอกชนภายในประเทศ 1,800 ล้านบาท และส่งออกอีกประมาณ 1,700 ล้านบาท รวมถึงงานบริการด้านหม้อแปลงไฟฟ้าอีก 200 ล้านบาท และในกลุ่ม Non-Transformer อาทิ Distributing Derrick/Arial Crane 1,523 ล้านบาท และ Steel Structure & Fabricate 50 ล้านบาท รวมทั้งหมดที่บริษัทได้เสนอราคาประมาณ 11,443 ล้านบาท คาดว่า บริษัทฯ จะได้รับงานประมาณ 20-25% ตามเกณฑ์ที่บริษัทฯ ได้ตั้งไว้
นายสัมพันธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับทิศทางของปี 2566 คาดว่าภาพรวมจะเป็นไปในทิศทางที่สดใสมากขึ้น ทั้งในกลุ่มหม้อแปลงไฟฟ้า และธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง โดยคาดว่าการรับรู้รายได้จะเพิ่มขึ้น ซึ่งแนวโน้มในอนาคตมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นทิศทางบวกเพิ่มขึ้น ซึ่งดูได้จากงานที่จะทยอยส่งมอบให้ลูกค้า และการเข้าร่วมประมาณเป็นจำนวนมากขึ้นด้วย ทั้งในภาครัฐบาล และเอกชนที่จะมีการลงทุนเพิ่มอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น