แอสตร้าเซนเนก้า ส่งมอบยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาวแบบผสม AZD7442 (LAAB ของแอสตร้าเซนเนก้า) ชุดแรกจำนวนกว่า 7,000 โดส ให้กับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ต้นสัปดาห์นี้ เพื่อนำไปจัดสรรและใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ในกลุ่มประชาชนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องในประเทศไทย โดยในวันนี้ กรมควบคุมโรคได้เริ่มใช้ LAAB ของแอสตร้าเซนเนก้า กับกลุ่มเป้าหมายโดยเริ่มที่ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายเป็นกลุ่มแรก
แอสตร้าเซนเนก้าจะส่งมอบยา AZD7442 จำนวน 257,500 โดส ให้กับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตามสัญญาการจัดซื้อที่ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับประชากรกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงต่อโควิด-19 โดยเฉพาะ “กลุ่ม 607” ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มี 7 โรคประจำตัว ซึ่งอาจมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ไม่เพียงพอ เนื่องจากภาวะทางสุขภาพจากโรคประจำตัว การได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือไม่สามารถรับวัคซีนได้ โดยประชาชนกลุ่มนี้หากติดเชื้อจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรครุนแรงจากโควิด-19
นายเจมส์ ทีก ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ประชาชนกลุ่มเปราะบางจำนวนมากยังคงวิตกกังวลจากโควิด-19 จึงมีความจำเป็นต้องแยกห่างจากสังคมและคนใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านของโควิด-19 ไปสู่โรคประจำถิ่น (Endemic) ที่มาตรการป้องกันต่างๆ ได้ถูกยกเลิกหรือผ่อนปรนแล้ว เพราะตระหนักว่าร่างกายของตนมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนได้ไม่ดีเท่ากับคนทั่วไป การเริ่มต้นใช้ยาแอนติบอดีในวันนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการสร้างกำลังใจให้กับผู้ป่วยกลุ่มนี้ที่จะเอาชนะความกลัวในการใช้ชีวิตท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 และยังเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการร่วมมือกันต้านภัยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย”
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด1 แอนติบอดีดังกล่าวสามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.4 และ BA.5 ซึ่งกำลังแพร่ระบาดในประเทศไทย และสายพันธุ์อื่นๆ ที่มี ณ ปัจจุบัน นอกจากนั้นผลการศึกษาระยะที่ 3 พรูฟเวนท์ (PROVENT) ในการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อไวรัสก่อโรคที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine ยังระบุว่า AZD7442 (LAAB ของแอสตร้าเซนเนก้า) สามารถลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 แบบมีอาการได้ 77% จากการวิเคราะห์เบื้องต้น และ 83% จากการวิเคราะห์มัธยฐานที่ระยะเวลา 6 เดือน2
AZD7442 (LAAB ของแอสตร้าเซนเนก้า) ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาในสหภาพยุโรป และขึ้นทะเบียนตำรับยาแบบมีเงื่อนไขจากหน่วยงานกำกับดูแลยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (MHRA) ของสหราชอาณาจักร เพื่อใช้สำหรับการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 นอกจากนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉินในประเทศสหรัฐอเมริกา และได้ถูกส่งมอบให้กับอีกหลายประเทศ โดยขณะนี้ บริษัทกำลังดำเนินการขอขึ้นทะเบียนยา AZD7442 ในหลายประเทศทั่วโลกเพื่อการอนุมัติใช้ทั้งในแง่ของการป้องกัน และการรักษาโควิด-19
AZD7442 หรือ LAAB ของแอสตร้าเซนเนก้า
AZD7442 (LAAB ของแอสตร้าเซนเนก้า) เป็นยาแอนติบอดีแบบผสม ซึ่งมีส่วนผสมระหว่างแอนติบอดีสองชนิด ได้แก่ tixagevimab (AZD8895) และ cilgavimab (AZD1061) มาจากบีเซลล์ที่ได้รับการบริจาคจากผู้ที่เคยป่วยจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งถูกค้นพบโดยศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิวท์ และได้อนุญาตให้แอสตร้าเซนเนก้านำมาพัฒนาต่อเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2563 โมโนโคลนอลแอนติบอดีของมนุษย์ 2 ตัวนี้จะมีความจำเพาะที่ต่างกัน เพื่อจับกับโปรตีนหนามของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ SARS-CoV-2 ในคนละจุด3 และถูกพัฒนาต่อโดยแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อขยายระยะเวลาครึ่งชีวิต(half-life) เพื่อเพิ่มความยืนยาวของแอนติบอดี และปรับให้มีการจับกันของ Fc Receptor และ Complement ชนิด C1q ที่ลดลง4 โดยการขยาย half-life นั้น สามารถเพิ่มความยืนยาวของแอนติบอดี้ได้มากกว่าสามเท่าเมื่อเทียบกับแอนติบอดี้ทั่วไป5-7 จากข้อมูลของการทดลองในระยะที่ 3 แสดงให้เห็นว่าระดับของแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งการเพิ่มจํานวนของไวรัส (neutralizing antibody) คงอยู่ได้เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน6 และการปรับให้มีการจับของ Fc Receptor ที่ลดลงนั้นสามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะ antibody-dependent enhancement (ADE) ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่แอนติบอดี้ของเชื้อไวรัสเข้าไปกระตุ้นแทนที่จะยับยั้งการติดเชื้อ8 ในหลายงานวิจัยพบว่า LAAB ของแอสตร้าเซนเนก้าสามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.4 และ BA.5 รวมถึงไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.23-7 ซึ่งกำลังแพร่ระบาดทั่วโลกอยู่ในขณะนี้2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น