วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2565

ห้างสรรพสินค้าสยาม ทาคาชิมายะ จับมือ รัฐบาลฮอกไกโด จัดงาน Foodie Island Hokkaido เอาใจคนรักฮอกไกโด วันที่ 28 มกราคม – 6 กุมภาพันธ์ ศกนี้

 


“สยาม ทาคาชิมายะ” ห้างสรรพสินค้าญี่ปุ่นขนานแท้ ณ ไอคอนสยาม ร่วมกับ รัฐบาลฮอกไกโด และ Hokkaido Dosanko Plaza (ฮอกไกโด โดซังโกะ พลาซ่า) ร้านค้าชื่อดังจากเกาะฮอกไกโด จัดงาน Foodie Island Hokkaido” (ฟู้ดดี้ ไอส์แลนด์ ฮอกไกโด) ยกวัฒนธรรมและเมนูเด็ด พร้อมสินค้ายอดนิยมประจำท้องถิ่นแท้ๆ ของจังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น มาให้คนไทยได้สัมผัสภายใต้แนวคิด Feel Hokkaido with all five senses ever in Thailand” ดื่มด่ำกับฮอกไกโดผ่านสัมผัสทั้ง 5 ครั้งแรกในเมืองไทย ภายในงานพบกับการสาธิตเมนู Hokkaido Obihiro-style Pork Donburi (ข้าวหน้าหมูสไตล์ฮอกไกโด) ปรุงด้วยวัตถุดิบคุณภาพส่งตรงจากฮอกไกโด  และบูธจำหน่ายสินค้ายอดนิยมประจำท้องถิ่น One More Hokkaido Dosanko Plaza” อาทิ Hokkaido potato cookie (คุกกี้มันฝรั่งฮอกไกโด) Sweet potato cake fillet  with red bean paste (เค้กมันหวานสอดไส้ถั่วแดง ฮอกไกโด) Cookie sandwich filled with white chocolate (คุกกี้แซนด์วิชสอดไส้ฮอกไกโดไวท์ช็อคโกแลต) Hokkaido Hogaja potato cracker with shrimp (ข้าวเกรียบมันฝรั่งฮอกไกโดทอดรสกุ้ง) ฯลฯ  มั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า ด้วยตราสัญลักษณ์ที่ช่วยยืนยันผลิตภัณฑ์ที่ปลูก ผลิต และแปรรูปด้วยกระบวนการที่ปลอดภัยในพื้นที่ฮอกไกโด พร้อมลิ้มลองเบนโตะซีฟู้ดสดๆ อาทิ ปลาแซลมอน หอยโฮตาเตะ และไข่ปลาแซลมอน ที่ส่งตรงมาจากฮอกไกโด นอกจากนี้ยังมีเบเกอรี่แสนอร่อย ที่ใช้วัตถุดิบชั้นดีจากเกาะฮอกไกโดมาทำเป็นขนมสูตรพิเศษ ที่หาทานได้เฉพาะงานนี้เท่านั้น!  และพลาดไม่ได้กับโปรโมชั่นสุดพิเศษ ช้อปสินค้าภายในงานครบ 1,000 บาท รับฟรีกระเป๋าผ้า Kyun –chan จากฮอกไกโด (จำนวนจำกัด)

มาร่วมดื่มด่ำคลายความคิดถึงฮอกไกโดไปกับหลากหลายสินค้าและเมนูดัง ในงาน Foodie Island Hokkaido ได้ตั้งแต่ วันที่ 28 มกราคม – 6 กุมภาพันธ์ 2565 ณ บริเวณชั้น ห้างสรรพสินค้าสยาม ทาคาชิมายะ และเมืองสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม ถนนเจริญนคร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-011-7500 หรือ Facebook : Siam Takashimaya

กรรมการปฏิรูปฯ การศึกษา แนะกลุ่มสถาบันผลิตครู ต้องยกเครื่องการผลิตบัณฑิต เน้นการเป็นนักพัฒนามนุษย์ มากกว่าครูผู้สอน รับการจัดการศึกษาในโลกยุคใหม่

 


กรุงเทพฯ 31 มกราคม 2565 –  รศ.ดร.ศิริเดช สุชีวะ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา แนะสถาบันการศึกษาด้านครุศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง เร่งปรับบทบาทในการเสริมสร้างสมรรถนะของบัณฑิตครู รองรับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 และการจัดการศึกษาในโลกยุคใหม่ ด้วยการพัฒนาสมรรถนะครูเพิ่มเติมใน ด้าน ได้แก่ 1.ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง 2.ความสามารถในการจัดกระบวนการเรียนรู้ จนผู้เรียนสามารถสร้างการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง และ 3.ความสามารถในการหล่อหลอมความเป็นมนุษย์ให้กับผู้เรียน รวมถึงปรับแนวคิดของสถาบันผลิตครู ให้มุ่งเน้นการผลิตนักพัฒนามนุษย์ (Human Developer) เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนากำลังคนของประเทศ ซึ่งสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เรื่องการปฏิรูปกลไกและระบบการผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐาน หรือ บิ๊กร็อกที่ 3

 

รศ.ดร.ศิริเดช สุชีวะ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงของโลกที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบให้ภาคการศึกษาต้องปรับตัวให้สอดคล้องและรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะสถาบันผลิตครูที่ต้องปรับบทบาทในการเสริมสร้างทักษะและพัฒนาศักยภาพให้กับครูหรือบุคลากรทางการศึกษา ทั้งในด้านความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาที่สอน การสร้างความรู้ความเข้าใจต่อหลักสูตรที่เปลี่ยนแปลงไป การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เข้ากับสื่อการเรียนการสอนเพื่อจูงใจผู้เรียนและส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพราะฉะนั้นการพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคน จึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ภายใต้กิจกรรมการปฏิรูปกลไกและระบบการผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐาน หรือ บิ๊กร็อกที่ ที่ต้องเร่งดำเนินการ

 

รศ.ดร.ศิริเดช กล่าวเสริมว่า เพื่อที่จะพัฒนาทักษะและสมรรถนะครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สอดคล้องกับการจัดการศึกษาในโลกยุคใหม่นั้น สถาบันผลิตครูต้องปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของหลักสูตรจากเดิมที่เน้นด้านทฤษฎีและการผลิตบัณฑิตครูเพื่อตอบสนองการสอนวิชาเอกหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะทางแต่เพียงอย่างเดียว อาทิ ครูวิชาภาษาอังกฤษ ครูวิชาสังคมศึกษา เปลี่ยนสู่การให้ความสำคัญกับการสร้างสมรรถนะในการปฏิบัติหน้าที่ของครูเพิ่มเติม เพื่อให้ครูมีสมรรถนะที่ครบถ้วนในตัวเอง แล้วจึงจะสามารถไปบ่มเพาะให้ผู้เรียนต่อได้ โดยสมรรถนะที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาแต่ละบุคคลจำเป็นต้องมีนั้น ประกอบด้วย 1.ความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในเนื้อหาสาระที่สอน (Subject Matter Expert2.ความสามารถในการจัดกระบวนการเรียนรู้ และกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถสร้างการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง และ 3.ความสามารถในการหล่อหลอมความเป็นมนุษย์ให้กับผู้เรียน ทั้งด้านค่านิยม ทัศนคติ และความคิดที่ถูกต้อง

 

สำหรับปัญหาที่พบในปัจจุบันคือบัณฑิตครูจบใหม่ไม่สามารถบริหารการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกในด้านต่างๆ เนื่องจากครูไม่มีทักษะที่คล่องแคล่วพอที่จะจัดการเรียนการสอนเมื่อเข้าสู่การทำงานจริง รวมถึงความรู้ความเข้าใจต่อหลักสูตร สะท้อนให้เห็นว่าที่ผ่านมายังไม่ได้รับการเสริมสร้างสมรรถนะอย่างเต็มที่ ซึ่งสอดคล้องกับการพิจารณาดัชนีคุณภาพของคณาจารย์ในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ตามระบบการให้คะแนนในการประเมินคุณภาพภายนอก จากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ซึ่งระบุว่า คณาจารย์ในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ของประเทศไทยมีคุณภาพอยู่ในระดับ “ต้องปรับปรุง” และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็ว

 

“ปลายทางของสถาบันผลิตครูไม่ใช่แค่การมุ่งผลิตบัณฑิตครูเพื่อตอบสนองต่อจำนวนครูในสถานศึกษา เนื่องจากโลกของการศึกษาไม่ได้มีเพียงแค่วิชาชีพข้าราชการครู สถาบันผลิตครูจึงควรเน้นการผลิตครูให้เป็นส่วนหนึ่งของนักพัฒนามนุษย์ (Human Developer) ที่มีสมรรถนะรอบด้านและเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนาทรัพยากรคนของประเทศให้มีคุณภาพ ส่งเสริมการเรียนรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21 ให้กับผู้เรียน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม ยิ่งมีจำนวนบัณฑิตครูมากเท่าไร ยิ่งนับเป็นโอกาสของระบบการศึกษาที่จะได้คัดสรรบุคลากรทางการศึกษาที่มีคุณภาพมากที่สุด” รศ.ดร.ศิริเดช กล่าวทิ้งท้าย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรม ของ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ได้ใน 4 ช่องทาง ดังนี้ เว็บไซต์ https://www.thaiedreform2022.org เฟซบุ๊กแฟนเพจ https://web.facebook.com/Thaiedreform2022 ยูทูบช่อง ‘thaiedreform2022’ และทวิตเตอร์ https://twitter.com/Thaiedreform22 

เฮเฟเล่ แบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้สังคม ปีที่ 11 “โรงเรียนดีชีวิตมีสุข” สร้างสุขอนามัยที่ดีสนับสนุน ‘อ่างล้างมือ’ มอบโรงเรียน 84 แห่ง

 


การล้างมือ คือวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับชำระล้างเชื้อโรคและไวรัส โดยเฉพาะกับยุคหลังที่เชื้อโควิดกำลังแพร่กระจายอย่างหนัก จนไม่รู้เลยว่าสองฝ่ามือของเรามีเชื้อตัวร้ายนี้แอบซ่อนอยู่บ้างหรือเปล่า

            ซึ่งสำหรับเรา ๆ การล้างมือคือกิจกรรมที่ทั้งง่ายและสะดวกไม่ต่างจากการขยับตัว ไหนจะอุปกรณ์ช่วยอย่างอ่างล้างมือที่แทบจะมีอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะในบ้าน ที่ทำงาน หรือกระทั่งที่สาธารณะ ที่เสริมเข้ามาเพื่อสร้างสุขอนามัยที่ดีต่อการหลีกห่างจากเชื้อโควิดให้ไกลที่สุด

            ทว่าเรื่องดังกล่าว กลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามเมื่อเทียบสิ่งแวดล้อมบางแห่ง โดยเฉพาะสถานที่อย่าง ศูนย์การศึกษานอกระบบ ที่เป็นแหล่งรวมตัวของนักเรียนจำนวนมาก แต่ศูนย์ฯ บางแห่งกลับไม่มีอ่างล้างมือติดตั้งอยู่ในห้องน้ำ กลายเป็นความเสี่ยงที่กลุ่มนักเรียนอาจต้องเผชิญเชื้อโรคมากกว่าคนทั่วไปเป็นเท่าตัว

            วิธีการแก้ไขที่ดีที่สุด และกำลังดำเนินการอยู่ในตอนนี้ คือการติดตั้งอุปกรณ์อ่างล้างมือให้กับโรงเรียน ศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์การศึกษานอกระบบ หรือที่ใด ๆ ก็ตามที่มีเด็กและนักเรียนที่เข้าไม่ถึงสุขอนามัยในห้องน้ำ ซึ่งนอกเหนือจากการช่วยเหลือจากภาครัฐแล้ว ฝั่งเอกชนโดยเฉพาะองค์กรที่ทำงานในแวดวงอุปกรณ์บ้านและอาคาร ก็ตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างดีและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับ เฮเฟเล่ ที่คอยปันสิ่งดี ๆ ให้สังคมอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปี

            โครงการ เฮเฟเล่ แบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้สังคม ปีที่ 11 “โรงเรียนดีชีวิตมีสุข คือโครงการที่เกิดขึ้นโดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือและดูแลศูนย์การศึกษารวมถึงโรงเรียนที่ห่างไกล ให้มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่กับด้านสุขอนามัยเท่านั้น แต่นับเป็นการสร้างพลังบวกให้นักเรียนเกิดภูมิคุ้มกันต่อสถานการณ์โรคระบาดที่ไม่คุ้นเคย รวมถึงสร้างสภาพที่เอื้อให้เกิดการศึกษาคุณภาพ เพื่อเป็นจุดเริ่มเล็ก ๆ ก่อเกิดการพัฒนานักเรียนไปสู่ผู้ใหญ่ที่ดีได้ในอนาคต

            โดยการปันสิ่งดี ๆ ในปีที่ 11 นี้ เฮเฟเล่ได้ทำการมอบอุปกรณ์รวมถึงอ่างล้างมือแบบแขวนผนังพร้อมขา รุ่น FERN จำนวน 160 ชุด สำหรับศูนย์การศึกษานอกระบบ จำนวน 80 ศูนย์ฯ ซึ่งมีห้องน้ำแต่ยังไม่มีอ่างล้างมือ และจัดสรรเป็นจำนวน อ่างสำหรับ ศูนย์ฯ แบ่งเป็นที่ห้องน้ำชายและห้องน้ำหญิง  และโรงเรียนอื่นๆ อาทิเช่น

โรงเรียน บ้านน้ำสิงห์ จ.อุตรติดถ์  จำนวน 10 ชุด    

โรงเรียนบ้านเด่นด่าน  จ.อุตรติดถ์   จำนวน 15 ชุด

โรงเรียนบ้านเด็กรามอินทรา – บ้านเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน กรุงเทพฯ จำนวน 3 ชุด

โรงเรียนวัดอรัญไพรศรี จำนวน 10 ชุด จ.ปราจีนบุรี

โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก จำนวน 20 ชุด จ.นครศรีธรรมราช

โรงเรียนวัดมะปรางงาม จำนวน 10 ชุด จ.นครศรีธรรมราช

รวมทั้งสิ้น 84 โรงเรียน อ่างล้างมือ 228 ชุด

            ด้าน นางมาริวิค เฮลสเติร์น ผู้เป็นหัวเรือลงแรงกับโครงการนี้มาตลอด 11 ปี กล่าวว่า เฮเฟเล่ให้ความสำคัญกับการรับผิดชอบสังคมมาโดยตลอด และยิ่งเพิ่มความสำคัญกับหัวข้อนี้มากขึ้นอีกท่ามกลางสถานการณ์ของโรคระบาดที่เกิดขึ้น โครงการ เฮเฟเล่ แบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้สังคม โรงเรียนดีชีวิตมีสุข จึงมุ่งหวังเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในสังคม โดยอ่างล้างมือทั้ง 228 ชุด ช่วยให้เด็กๆ อย่างน้อย 84 โรงเรียน ได้รับสุขอนามัยที่ดีขึ้นเป็นเกราะป้องกันตัวนักเรียนและโรงเรียนให้ไกลจากโควิด ซึ่งเฮเฟเล่มั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งสภาพแวดล้อมที่มีคุณภาพ เอื้อต่อการศึกษาโดยไม่ต้องพะวงกับโรคระบาดอีกต่อไป

            ติดตามเรื่องราวดี ๆ จากโครงการ เฮเฟเล่ แบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้สังคม โรงเรียนดีชีวิตมีสุข  ในปีต่อไป พร้อมข่าวสารทุกเรื่องงานบ้านและอาคารจากเฮเฟเล่ ได้ที่ www.hafelethailand.com





“The Freestyle” สร้างกระแสตอบรับดีเยี่ยมทั่วโลก ซัมซุงเผยยอดจองทะลุ 10,000 เครื่องในเดือนเดียวหลังเปิดตัว

 


กรุงเทพฯ (31 มกราคม 2565) – หลังจากที่ซัมซุงเปิดตัว “The Freestyle” ครั้งแรกของโปรเจคเตอร์และอุปกรณ์เอนเตอร์เทนเมนท์ขนาดพกพาไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็ได้สร้างกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมในหลายตลาดทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นทวีปอเมริกาเหนือ ละตินอเมริกา หรือประเทศเกาหลีใต้ ด้วยยอดจองทะลุ 10,000 เครื่องภายในเดือนแรก หลังจากเริ่มเปิดให้จองในสหรัฐอเมริกาไปเมื่อวันที่ มกราคม ตามด้วยประเทศเกาหลีใต้ ละตินอเมริกา ทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุโรป

“The Freestyle ได้มอบอีกขั้นของประสบการณ์ใช้งาน และยังตอบรับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ที่สามารถเพลิดเพลินไปกับคอนเทนต์คุณภาพไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ปราศจากข้อจัดด้านพื้นที่ และเราพร้อมมุ่งเดินหน้าคิดค้นนวัตกรรมหน้าจอไลฟ์สไตล์เช่นเดียวกับ The Freestyle เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านการรับชมที่เหนือชั้น พร้อมฟังก์ชันที่ยืดหยุ่นและสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ต่อไป” นายไซมอน ซัง รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจจอภาพ บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าว

A group of people sitting on the floor in a living room

Description automatically generated with medium confidence

The Freestyle ได้รับความนิยมจากเทคโนโลยีและฟีเจอร์สุดล้ำมากมาย สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายด้วยฟีเจอร์ปรับภาพและโฟกัสได้โดยอัตโนมัติ มอบคอนเทนต์คมชัดในขนาดหน้าจอที่ใหญ่ได้สูงสุดถึง 100 นิ้ว และความโดดเด่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือน้ำหนักของตัวเครื่องที่เบาเพียง 830 กรัม จึงพกพาสะดวก ถือใช้งานได้ด้วยมือเดียว ที่สำคัญยังสามารถหมุนปรับเลนส์ได้ถึง 180 องศา ในขณะเดียวกัน The Freestyle ยังมาพร้อมฟีเจอร์เช่นเดียวกับบน Smart TV จากซัมซุง ไม่ว่าจะเป็นบริการสตรีมมิ่งที่ติดตั้งมาในตัว รวมถึงฟีเจอร์ Screen Mirroring และ Casting ที่รองรับทั้งสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และ iOS และเมื่อไม่ได้ใช้ The Freestyle สำหรับฉายคอนเทนต์ เครื่องโปรเจคเตอร์ดีไซน์มินิมอลนี้ยังสามารถใช้สร้างบรรยากาศด้วยเอฟเฟกต์ต่างๆ ในโหมด Ambient ผ่านฝาปิดเลนส์แบบโปร่งแสงได้อีกด้วย

A group of people playing a video game

Description automatically generated with low confidence

นอกจากนี้ The Freestyle ยังเป็นลำโพงอัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์เสียงเพลงเพื่อจับคู่กับภาพเอฟเฟกต์และฉายไปบนกำแพง เพดาน หรือพื้นที่ที่ต้องการได้ มาพร้อมลำโพง 360 องศา ให้ผู้ใช้ดื่มด่ำไปกับประสบการณ์เสียงคุณภาพระดับโรงภาพยนตร์ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ในด้านการชาร์จก็สะดวกไม่แพ้กัน เพราะ The Freestyle สามารถชาร์จกับพาวเวอร์แบงค์[2]  ที่รองรับ USB-PD และกำลังไฟ 50W/20V หรือมากกว่าได้ ทำให้การพกพา The Freestyle ระหว่างเดินทางท่องเที่ยว ทริปแคมปิ้ง หรือทุกที่เป็นเรื่องง่าย 

A picture containing text, electronics, display, screenshot

Description automatically generated

สำหรับประเทศไทย ผู้ที่สนใจสามารถจองเป็นเจ้าของ Samsung The Freestyle ในรอบ Early Pre-order ได้ตั้งแต่วันที่ 1-17 กุมภาพันธ์ 2565 ทาง https://bit.ly/3rR5Neo รับดีลพิเศษกับคูปองเงินสดมูลค่า 5,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าครั้งถัดไปบน samsung.com

“วัน ออริจิ้น” ร่วมทุนยักษ์อสังหาฯญี่ปุ่น “โตคิว แลนด์ เอเชีย” เพิ่มเติม ปั้นบิ๊กโปรเจกต์ออฟฟิศติด BTS “วัน ออริจิ้น สนามเป้า” มูลค่า 4,400 ล้านบาท

 


“วัน ออริจิ้น” ในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เดินหน้าพัฒนาโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่อสังหาฯญี่ปุ่น “โตคิว แลนด์ เอเชีย” เพิ่มเติมอีก โครงการ ตอกย้ำความมั่นใจชาวต่างชาติต่อบริษัทและแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯไทย ผุดบิ๊กโปรเจกต์ “วัน ออริจิ้น สนามเป้า” อาคารสำนักงานเกรดเอแห่งแรกของออริจิ้น ติด BTS สนามเป้า มูลค่า REIT 4,400 ล้านบาท บนพื้นที่ศักยภาพใจกลางเมือง พื้นที่ให้เช่ากว่า 34,000 ตารางเมตร ภายใต้แนวคิด Human Centric District with New Normal Lifestyle คาดดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส ปี 2566 

 

นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างความร่วมมือใหม่ในกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) กับหลากหลายพันธมิตร เพื่อสร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง ล่าสุด ได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท โตคิว แลนด์ เอเชีย จำกัด พันธมิตรยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมทุนกันพัฒนาโครงการ “วัน ออริจิ้น สนามเป้า” (One Origin Sanampao) อาคารสำนักงานเกรดเอแห่งแรกภายใต้การพัฒนาของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มูลค่า REIT 4,400 ล้านบาท หลังจากก่อนหน้านี้ได้ร่วมทุนกันครั้งแรกเมื่อกลางปี 2564 เพื่อพัฒนาโครงการ “วัน ออริจิ้น พญาไท” (One Origin Phayathai) โครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) โรงแรม และพื้นที่ค้าปลีก มูลค่า REIT 3,600 ล้านบาท 

 

“ความร่วมมือในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและไว้วางใจจาก โตคิว แลนด์ เอเชีย ที่มีต่อ วัน ออริจิ้น ในการเดินหน้าลงทุนธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำในประเทศไทย และศักยภาพความต้องการอาคารสำนักงานในทำเลใกล้รถไฟฟ้าในเมืองซึ่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โครงการวัน ออริจิ้น สนามเป้า จะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยตอกย้ำแนวคิดที่มีร่วมกันคือ ต้องการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์แบบให้แก่ผู้บริโภค” นายปิติพงษ์ กล่าว 

 

ทั้งนี้ บริษัท โตคิว แลนด์ เอเชีย จำกัด เป็นบริษัทพัฒนาและลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเครือโตคิว แลนด์ คอร์เปอเรชั่น หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่นที่สั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนาน 67 ปี ภายใต้การดำเนินธุรกิจของโตคิว ฟูโดซัง โฮลดิ้ง คอร์เปอเรชั่น บริษัทยักษ์ใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น ซึ่งติดหนึ่งในบริษัทดัชนี Nikkei 225 มีมูลค่าทรัพย์สิน ณ สิ้นปีงบการเงินล่าสุดของญี่ปุ่น (31 มี.ค.64) ประมาณ 2,652,000 ล้านเยน หรือราว 790,000 ล้านบาท  

 

ด้าน นายฮิเดทาสึ อิเคดะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โตคิว แลนด์ เอเชีย จำกัด กล่าวว่า จากวิสัยทัศน์การขยายการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทให้ความสำคัญกับการพิจารณาพันธมิตรที่เหมาะสม มีชื่อเสียง และน่าเชื่อถือ สำหรับการลงทุนในแต่ละประเทศ สำหรับในประเทศไทย การเดินหน้าร่วมทุนกับบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด และเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เพิ่มเติมในโครงการวัน ออริจิ้น สนามเป้า จะเป็นอีกก้าวสำคัญของการเติบโตของบริษัทในประเทศไทย พร้อมกับการช่วยยกระดับอีโคซิสเท็มของการใช้ชีวิตให้แก่คนในไทย 

 

สำหรับโครงการ วัน ออริจิ้น สนามเป้า เป็นโครงการอาคารสำนักงานเกรดเอ สูง 25 ชั้น 1 อาคาร บนพื้นที่ 3-2-61 ไร่ ติด BTS สนามเป้า ทำเลศักยภาพซึ่งเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่และรวมอาคารสำนักงานชั้นนำหลายแห่ง เดินทางสะดวกสบายทั้งรถไฟฟ้าและใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน ตัวโครงการพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิ Human Centric District with New Normal Lifestyle ตอบโจทย์การทำงานแบบ Work-Life Balanced และการใช้ชีวิตแบบ New Normal ด้วยรูปแบบการออกแบบที่เน้น Flexible Space และ Flexible working time ให้สอดคล้องกับการทำงานของบริษัทต่างๆ ในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น รองรับการทำงานได้หลากหลายธุรกิจ ทั้งบริษัทในประเทศและบริษัทต่างชาติ ภายในอาคารประกอบด้วยพื้นที่อาคารรวม (Gross Floor Area หรือ GFA56,100 ตร.ม. โดยเป็นพื้นที่ให้เช่า (Leasable Area) ประมาณ 34,000 ตร.ม. แบ่งเป็น พื้นที่สำนักงานให้เช่า 33,000 ตร.ม. และพื้นที่เชิงพาณิชย์ 1,000 ตร.ม. โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาส 2/2565 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้งานในช่วงไตรมาส 1/2567 

 

ทั้งนี้ โครงการ วัน ออริจิ้น สนามเป้า ออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบโครงการ ตามเกณฑ์ Leadership in Energy & Environmental Design (LEEDGold certificated ทั้งด้านการออกแบบส่วนพื้นที่สีเขียวด้านหน้าโครงการอย่างเหมาะสม เพื่อลดค่าความร้อนของพื้นถนนคอนกรีต และลดความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายในอาคาร ภายในตัวอาคารมีการกระจายพื้นที่สีเขียวให้ครอบคลุมในส่วนพื้นที่ต่างๆ ของอาคาร รวมถึงมีการออกแบบพื้นที่ช่องเปิดของอาคารให้มีขนาดเพียงพอให้แสงธรรมชาติเข้าสู่ตัวอาคาร ช่วยลดความร้อนที่เกินความจำเป็น ช่วยประหยัดการใช้พลังงานภายในอาคาร มีการคำนึงถึงการลดมลพิษของพื้นที่จอดรถของโครงการ โดยการออกแบบที่จอดรถอัตโนมัติในส่วนพื้นที่เหนือพื้นดิน โครงการยังมีการใช้วัสดุก่อสร้างที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นวัสดุที่มีค่าสะท้อนแสงน้อย เพื่อเป็นมิตรกับชุมชนรอบโครงการ 

 

สำหรับบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจหลากหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มธุรกิจโรงแรม พัฒนาโครงการโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ พร้อมทั้งจับมือกับแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกเข้ามาบริหาร มีโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว แห่ง ได้แก่ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา-แหลมฉบัง และมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกหลายแห่ง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า กลุ่มอาคารมิกซ์ยูส ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจอาหาร 

 

ขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 98 โครงการ (ณ สิ้นปี 2564) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN), ดิ ออริจิ้น (The Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 143,800 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเฮลท์แคร์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร 

‘แกรนด์ ยูนิตี้’ พร้อมสู้ศึกอสังหา! ชูยุทธศาสตร์ Excellence in Values รุกปี’65 ส่งแบรนด์คอนโดน้องใหม่ ‘blue’ 3 โครงการ 3 ทำเลดาวรุ่ง ทั่วกทม. ประเดิมส่ง “บลู พหลโยธิน 35” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ GEN ใหม่ ยุค Now Normal

 


·      แกรนด์ ยูนิตี้ กางแผนรุกตลาดอสังหาฯ ปี 2565 อย่างเต็มรูปแบบ ชูวิสัยทัศน์  Excellence in Values ส่งมอบความเป็นเลิศในทุกมิติให้กับลูกค้า และขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน  
เน้นโครงการตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มแมส และพรีเมี่ยมในยุค
Now Normal

·      พร้อมเปิดตัวแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด “blue” กับ 3 โครงการ 3 ทำเลศักยภาพ
ภายใต้แนวคิด “
Explore Your Area ค้นพบความสุขที่ไม่ต้องไปไหนไกล” รวมมูลค่าโครงการ
กว่า
2,500 ล้านบาท

·      ประเดิมโครงการแรก “บลู พหลโยธิน 35” (blue Phahonyothin 35) คอนโดโลว์ไรส์แห่งใหม่
ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
GEN ใหม่ ในราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท*

 

            กรุงเทพฯ บ่ายวันนี้ (31 มกราคม 2565) นางสาวทัดดาว จิระสวัสดิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY –Makes Sense.” เปิดเผยว่า สำหรับปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาทุกมิติให้แข็งแกร่งด้วยการใส่ใจ สรรสร้าง ผลิตภัณฑ์ บริการ และบุคลากร เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุค Now Normal และให้สอดคล้องกับพันธกิจขององค์กร เพื่อให้คุณได้ “ใช้ชีวิต…บนเหตุผลของคุณ - Makes Sense.” ผ่านกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ได้แก่ Product Excellence, Service Excellence, People Excellence ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ สามารถพิสูจน์ความมั่นคงและศักยภาพในการบริหารและการจัดการความเสี่ยงของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจเพื่อการขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จได้อย่างดีเยี่ยม

          ปี 2564 ที่ผ่านมา เราได้ดำเนินตามแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มองหาคอนโดมิเนียมภายใต้สถานการณ์ที่ต้องใช้ความรอบคอบในการตัดสินใจมากขึ้น ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าลูกค้าได้เล็งเห็นถึงคุณภาพหรือ Product Excellence ที่เรามอบให้ในทุกๆ ขั้นตอน ทั้งการเลือกใช้วัสดุในการก่อสร้างและ Zero Defect ทำให้สามารถปิดการขายโครงการ เซียล่า ศรีปทุม (CIELA Sripatum) ได้เป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาโครงการต่างๆ ให้มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อย่างการพัฒนาโครงการ อนิล สาทร 12 (ANIL Sathorn 12) ซึ่งถือเป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกของไทยที่ได้รับรองตามมาตรฐานความเป็นอยู่ระดับโลก WELL Multifamily PrecertifiedTM ระดับ Gold ตามมาตรฐาน WELL Building StandardTM
จาก
International WELL Building InstituteTM (IWBITM) ประเทศสหรัฐอเมริกา ไปจนถึงด้านการบริการ บริษัทฯ เสริมความแข็งแกร่งด้วยการร่วมมือกับบริษัท เซนเซส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SENSES) ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารพื้นที่อาคารที่พักอาศัย เข้ามาช่วยบริหารจัดการงานนิติบุคคลอาคารชุดแบบครบวงจร รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของเราอย่างต่อเนื่อง

          จากการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องนี้ จึงเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ แกรนด์ ยูนิตี้ สามารถคว้ารางวัล
BCI Asia Top 10 Developers Award 2020” ซึ่งเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ระดับภูมิภาคเอเชีย โดยเป็นผลงานจากการพัฒนาโครงการภายใต้ BLUE Series 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ อนิล สาทร 12 (ANIL Sathorn 12), โครงการ แมสซารีน รัชโยธิน (MAZARINE Ratchayothin) และโครงการ เซียล่า จรัญฯ 13 สเตชั่น (CIELA Charan 13 Station) โดยสะท้อนคุณภาพและความโดดเด่นในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการสู่ความเป็นเลิศในทุกมิติอย่างแท้จริง

          สำหรับปี 2565 ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการพลิกเกมการดำเนินธุรกิจของแกรนด์ ยูนิตี้ ต่อเนื่องจากปี 2564 ซึ่งถือเป็นปีแห่งการปรับเปลี่ยนและทบทวนกลยุทธ์องค์กร หรือ The Year of Optimization โดยในปีนี้ บริษัท ชูวิสัยทัศน์ Excellence in Values เพื่อยกระดับ 3 กลยุทธ์สำคัญไปสู่การส่งต่อคุณค่าที่เป็นเลิศให้กับลูกค้าได้แก่ 1. Product Excellence การพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ความเป็นเลิศที่มีเครื่องมือชิ้นสำคัญคือการศึกษาความต้องการและปรับตัวตามโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เพื่อมาตรฐานสูงสุดของคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในทุกๆ วัน และเพื่อให้การพัฒนาก่อสร้างโครงการได้คุณภาพตามมาตรฐานสากล ผนวกกับการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ 2. Service Excellence การดูแลลูกค้าได้อย่างครบวงจรทั้งกิจกรรมสิทธิพิเศษจาก Grand Unity Family การสนับสนุนการฉีดพ่นฆ่าเชื้อในโครงการต่างๆ ของ แกรนด์ ยูนิตี้ บริการโฮมแคร์ หรือ Home-Friendly ที่สามารถแจ้งรับบริการได้อย่างสะดวกสบายผ่าน Grand Unity Application ไปจนถึง บริษัท เซนเซส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SENSES) ที่สามารถดูแลและบริหารจัดการอาคารที่พักอาศัยได้อย่างมืออาชีพ 3. People Excellence การเสริมความรู้และทักษะให้กับพนักงานภายใต้แนวคิด Customer-Centric Mindset ซึ่งถือเป็นทรัพยากรสำคัญที่จะสร้างคุณค่าที่ไม่มีสิ้นสุดทั้งสำหรับตัวพนักงานและลูกค้าของ แกรนด์ ยูนิตี้ โดยกลยุทธ์นี้ยังถือเป็นหนึ่งในแผนงานพัฒนาความยั่งยืนของกลุ่มบริษัทในเครือยูนิเวนเจอร์อีกด้วย”

          นอกจากนี้ แกรนด์ ยูนิตี้ ยังได้เสาะแสวงหาทำเลศักยภาพซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง เพียบพร้อมด้วยสาธารณูปโภคและระบบคมนาคมที่สะดวกสบาย เพื่อให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุค Now Normal และที่สำคัญต้องเกิดความคุ้มค่ากับผู้บริโภคมากที่สุด รวมถึงครอบคลุมความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในทุกเซ็กเมนต์ พร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริงทั้งในด้าน Sustainability และ Living Standard Excellence

          “ในปีนี้ แกรนด์ ยูนิตี้ เดินหน้าลุยตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีไฮไลท์สำคัญคือการเปิดตัวอีกหนึ่งแบรนด์คอนโดมิเนียมน้องใหม่ล่าสุดภายใต้ ‘BLUE Series’ อย่างแบรนด์ “blue” ที่มาพร้อมกับ คอนเซ็ปต์ Explore Your Area ค้นพบความสุขที่ไม่ต้องไปไหนไกล” โดยถือเป็นแบรนด์ที่พัฒนามาเพื่อตอบโจทย์
ไลฟ์สไตล์
GEN ใหม่ และมีราคาที่จับต้องได้ เพราะที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการในกลุ่ม Middle to High
มาโดยตลอด ซึ่งคำว่า “blue
นั้นหมายถึง สีที่แสดงถึงตัวตน ให้ความอิสระ รวมถึงการผสมผสาน เพื่อสื่อถึงตัวแทนของวัยเริ่มต้นที่มีความอิสระ ร่าเริง และมีความสร้างสรรค์ โดยโครงการภายใต้แบรนด์ “blue
ประกอบไปด้วย
3 โครงการ บน 3 ทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ ที่จะมาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ให้ครอบคลุมยิ่งกว่า
โดยประเดิมเปิดตัวโครงการแรก ได้แก่ โครงการ บลู พหลโยธิน
35 (blue Phahonyothin 35) หลังจากนั้นจะมีการเปิดตัว โครงการ บลู สุขุมวิท 89 (blue Sukhumvit 89) และโครงการ บลู สุขุมวิท 105 (blue Sukhumvit 105) ตามลำดับ โดยมีมูลค่าโครงการรวมทั้งหมดกว่า 2,500 ล้านบาท

          พร้อมกันกับการพัฒนาโครงการใหม่ บริษัทฯ ยังมุ่งผลักดันยอดขายโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ มูลค่ารวมกว่า 2,700 ล้านบาท และยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพื่อรองรับการโอนในปี 2565 - 2566 กว่า 3,500
ล้านบาท อีกทั้งเมื่อสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น ยังมีโครงการที่รอการพัฒนาในหลายทำเลศักยภาพใกล้รถไฟฟ้า ประมาณการมูลค่ากว่า
8,000 ล้านบาท โดยเชื่อว่าในปีนี้ ลูกค้าจะสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นในการส่งต่อคุณภาพในทุกมิติของ แกรนด์ ยูนิตี้ ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน” นางสาวทัดดาว กล่าวสรุป

             

โครงการ “บลู พหลโยธิน 35” (blue Phahonyothin 35)

“บลู พหลโยธิน 35” (blue Phahonyothin 35) เป็นคอนโดมิเนียม low-rise สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2.1.97 ไร่ มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท โดยมีห้องชุดพักอาศัยจำนวน 322 ยูนิต รวม 6 รูปแบบ ขนาดตั้งแต่ 2437.50 ตารางเมตร แต่งครบ fully-furnished ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท* ภายใต้แนวคิด “Find New Moments in Familiar Places ชีวิตคือการค้นหาสิ่งใหม่..ในที่ที่คุ้นเคย

โครงการตั้งอยู่บริเวณใกล้แยกรัชโยธิน ซึ่งเป็นที่ยอมรับในเรื่องศักยภาพของทำเล รวมถึงเป็น CBD    ทางตอนเหนือของกรุงเทพมหานคร และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งระบบคมนาคม แหล่งงาน และสำนักงานต่างๆ ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพของทำเลให้เติบโตยิ่งขึ้น เชื่อมต่อการเดินทางสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกสบาย ล้อมรอบด้วยถนนสายหลักอย่าง ถนนพหลโยธิน ถนนวิภาวดีรังสิต และถนนรัชดาภิเษก ทั้งยังใกล้กับรถไฟฟ้า BTS สถานีรัชโยธิน เพียง 1.5 กิโลเมตร และรถไฟฟ้า BTS สถานีพหลโยธิน 24 เพียง 1.7 กิโลเมตรเท่านั้น รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่กำลังจะแล้วเสร็จในอนาคตอันใกล้ อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยแหล่งรวมไลฟ์สไตล์และสถานที่สำคัญมากมายอีกด้วย

          ในส่วนของการออกแบบโครงการฯ ได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนให้ตอบโจทย์ตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า เพื่อรองรับการอยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายในยุค Now Normal โดยเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับ Function ของ Space ที่มาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์ Adaptive Design ซึ่งถูกออกแบบมาเฉพาะโครงการ blue เท่านั้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ GEN ใหม่ และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้อย่างหลากหลาย ซึ่งจะช่วยประหยัดพื้นที่และเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้มากยิ่งขึ้น

พร้อมกันนั้น ยังได้สร้างสรรค์พื้นที่ส่วนต่างๆ ไว้อย่างครบครัน และครอบคลุมพื้นที่ถึง 3 ชั้น โดยสามารถเชื่อมต่อกันตั้งแต่ชั้นล่างขึ้นไปถึงชั้นบน พร้อมออกแบบ Space ทางเชื่อมแบบ Sky Bridge ที่เชื่อมส่วนกลาง
ทั้ง
2 อาคาร ให้มีฟังก์ชันใช้งานที่หลากหลายและไม่จำเจ ไม่ว่าจะเป็น Co-Working Space, Game Room, Fitness, Yoga Room, และ Central Pool รวมไปถึง Greenery Space สวนภายใน Court ที่จะช่วยสร้างบรรยากาศในการพักผ่อนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีพื้นที่จอดรถทั้งโครงการรวม 40% ดูแลด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย ควบคุมการเข้า-ออกโครงการด้วยระบบ Key Card Access และ Touchless Access สำหรับพื้นที่ส่วนกลาง พร้อมระบบ CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง  

โครงการ “บลู พหลโยธิน 35” (blue Phahonyothin 35) กำหนดเปิดสำนักงานขายอย่างเป็นทางการ      ในวันที่ 26 - 27 กุมภาพันธ์นี้ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับข้อเสนอพิเศษช่วง Exclusive Opening ได้ที่ https://grandunity.co.th/th/blue-phahonyothin-35 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE Official : @GrandUnity หรือ www.facebook.com/GrandUnityDevelopment หรือเว็บไซต์ www.grandunity.co.th
โทร
02 652 4000


ที ลีสซิ่ง จับมือ ศรีประจันต์วัฒนยนต์ จัดอบรม "ขับขี่ปลอดภัย ร่วมใจลดมลพิษ" โรงเรียนสงวนหญิง จ.สุพรรณบุรี

  บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด  ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้ อรถจักรยานยนต์  ในเครือ เอ็ม บี เค  เล็งเห็นความสำคัญของการขับขี่ รถบนท้องถนนอย่างปลอ...