คลิชี, 4 สิงหาคม 2564 – ลอรีอัล กรุ๊ป ได้รายงานผลการดำเนินงานรอบครึ่งปีแรกของปี 2564 โดยเติบโตขึ้น 20.7%[1] ในสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่มีความแน่นอน ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามภาพรวมมีการฟื้นตัวขึ้นทีละน้อย และมีอัตราการเติบโตในเลขสองหลัก โดยลอรีอัล กรุ๊ป สามารถครองส่วนแบ่งตลาดสูงขึ้นในทุกแผนกและในทุกภูมิภาค และมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นกว่าตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ที่ บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง และสามารถหวนคืนสู่อัตราการเติบโตในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด โดยเติบโตขึ้น 6.6% เทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2562 และเพิ่มขึ้น 8.4% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2562
ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของบริษัทฯ ทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถดึงดูด รวมทั้งสร้างและรักษากลุ่มลูกค้า รวมทั้งพันธมิตร โดยช่องทางอี-คอมเมิร์ซเติบโตในระดับปานกลางที่ 29.2%1 เนื่องจากช่องทางร้านค้าปลีกสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ ยอดขายอี-คอมเมิร์ซคิดเป็นสัดส่วน 27.3%[2] ของยอดขายทั้งหมด ขณะที่กลุ่มค้าปลีกท่องเที่ยวนั้น ได้ฟื้นตัวขึ้น โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยของการเดินทางระหว่างประเทศ และความสำเร็จในตลาดไหหลำ
ขณะเดียวกัน การมีส่วนร่วมทางสังคมและสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นภารกิจหลักของลอรีอัล กรุ๊ป โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวแคมเปญของ ลอรีอัล กรุ๊ป เป็นครั้งแรกทั่วโลก เพื่อให้ลูกค้า ผู้ถือหุ้น รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจทั้งหมด ได้รับทราบถึงการดำเนินงานต่างๆ ที่ภายใต้จุดมุ่งหมายในการ “สร้างสรรค์ความงามที่ขับเคลื่อนโลกใบนี้” พร้อมกันนี้ ยังได้มีการเปิดตัว “L'Oréal For Youth” ซึ่งเป็นโครงการระดับโลกที่มีจุดประสงค์ เพื่อส่งเสริมการจ้างงานเยาวชนด้วยการเพิ่มโอกาสในการทำงานสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ให้เพิ่มสูงขึ้นอีก 30%
นายนิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กล่าวว่า “ลอรีอัล กรุ๊ป เติบโตอย่างแข็งแกร่งได้อีกครั้งในช่วงครึ่งปีแรก และมีความพร้อมที่จะเติบโตต่อไปในอัตราการขยายตัวระดับเดียวกับช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติ ด้วยการใช้เทคโนโลยี data และ AI เพื่อก้าวขึ้นเป็นบริษัท Beauty Tech โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เราจะใช้แผนกลยุทธ์การเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบบเชิงรุกของเรา พร้อมกันนี้ก็จะลงทุนในปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโตที่เกี่ยวข้อง เพื่อกระตุ้นการขยายตัวในอนาคต และความต้องการในแบรนด์ต่างๆ ของเรา เรามีความมั่นใจมากกว่าที่เคยในความสามารถที่จะเติบโตธุรกิจในอัตราสูงกว่าตลาด และทำให้ปีนี้เป็นปีที่ประสบความสำเร็จในการเติบโตยอดขายและผลประกอบการ”
ข้อมูลสรุปโดยแบ่งตามแผนกธุรกิจ1
แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพเติบโตขึ้น 41%
แผนกนี้ได้รับอานิสงส์จากเทรนด์ในตลาด 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของซาลอนและร้านเสริมสวยต่างๆ การพัฒนาสไตลิสต์ที่เป็นฟรีแลนซ์ และการขยายตัวของอี-คอมเมิร์ซ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเป็นอันดับหนึ่ง
แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคเติบโตขึ้น 6.3%
แผนกนี้มียอดขายที่โตสูงกว่าตลาด และเติบโตในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในจีน บราซิล อินโดนีเซีย และประเทศหลักในยุโรป ช่องทางอี-คอมเมิร์ซยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 20% ของยอดขายรวม
แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงเติบโตขึ้น 28.1%
แผนกนี้มียอดขายที่โตสูงกว่าตลาดในทุกภูมิภาค จากการกลับมาเปิดให้บริการของหน้าร้านบางส่วน และแผนกนี้ยังมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งสามประเภทที่มี
แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางเติบโตขึ้น 37.5%
แผนกนี้ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง โดยมีการปรับผลิตภัณฑ์ของแบรนด์สกินแคร์ให้ตอบรับกับความต้องการด้านสุขภาพของกลุ่มลูกค้า ที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเดิมในช่วงการระบาดของโควิด
ข้อมูลสรุปโดยแบ่งตามโซนภูมิภาค1
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2564 ลอรีอัล กรุ๊ป ได้ปรับการจัดภูมิภาคขึ้นใหม่ โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ยอดขายตามโซนภูมิภาครายงานตามการจัดโครงสร้างดังกล่าว โดยภูมิภาคที่จัดขึ้นใหม่คือ ยุโรป อเมริกาเหนือ เอเชียเหนือ SAPMENA (เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และแอฟริกาใต้ซาฮารา) และละตินอเมริกา
SAPMENA (เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และแอฟริกาใต้ซาฮารา) เติบโต 19.9%
ประเทศแถบแปซิฟิก และกลุ่มประเทศรอบอ่าวอาหรับเริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในอินเดียยังคงส่งผลกระทบต่อยอดขายในไตรมาส 2 ขณะที่หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ยังมีการใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด ส่วนเวียดนามยังคงมีการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของตลาด SAPMENA ได้รับแรงหนุนจากแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค จากแบรนด์ การ์นิเย่ และ เมย์เบลลีน นิวยอร์ก รวมทั้งจากแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงในกลุ่มน้ำหอม และสกินแคร์ และแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่มีแบรนด์ลา โรช-โพเชย์ช่วยเสริม ขณะที่อี-คอมเมิร์ซ เติบโตอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย ช่วยผลักดันให้ทุกแผนกเติบโตขึ้นเช่นกัน ส่วนในแอฟริกาใต้ซาฮารานั้น ยอดขายขยายตัวขึ้นจากตลาดแอฟริกาใต้มียอดขายที่สูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งในอัตราเลขสองหลัก
เอเชียเหนือเติบโต 27.3%
ยุโรปเติบโต 11.9% ซึ่งโซนนี้ครอบคลุมถึงยุโรปตะวันตก และยุโรปตะวันออก และเป็นโซนที่ใหญ่ที่สุดของลอรีอัล กรุ๊ป ในแง่ยอดขาย
อเมริกาเหนือเติบโต 23.2%
ละตินอเมริกาเติบโต 32.8%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น