วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Mintel ชี้กลุ่มผู้บริโภค “สายกรีน” ในเอเชียแปซิฟิกมาแรง! คาดพลิกโฉมอุตสาหกรรมนมในเอเชียแปซิฟิก เหตุผู้บริโภคใส่ใจเรื่องความยั่งยืน สวัสดิภาพสัตว์และการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช

 


-   ผู้บริโภคชาวไทย 70% ต้องการเห็นความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ non-dairy หรือผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากนมมากยิ่งขึ้น

-   ชี้โควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคสนใจอาหารที่มีโปรตีนจากพืช

-   การเติบโตของกลุ่มผู้บริโภค ‘สายกรีน’ กรุยทางสู่โอกาสทางธุรกิจของแบรนด์ผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ต


ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคเริ่มหันมาสนใจการรับประทานอาหารจากพืชมากขึ้น และผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับส่วนผสมและกรรมวิธีการผลิตที่สะอาดปลอดภัยของอาหารและเครื่องดื่มทางเลือกอีกด้วย ยกตัวอย่าง 1 ใน 3 (33%) ของผู้บริโภคชาวอินเดียให้คำมั่นว่า จะทานผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์น้อยลง (เช่น ผลิตภัณฑ์จากนมหรือเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นหนึ่งในปณิธานว่าด้วยการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มหลังการระบาดของโรคโควิด-19  ในขณะที่ประเทศเกาหลีใต้ ผู้บริโภคจำนวน 71%** เห็นด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่ออาหารและเครื่องดื่มที่ตนเองซื้อ หรือในขณะเดียวกัน 57% ของผู้บริโภคชาวจีนที่อาศัยในเมืองเห็นด้วยว่า ประเด็นสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจและความสำคัญมากขึ้นนับตั้งแต่ที่เกิดการระบาดของโควิ-19 ดังนั้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการรับประทานโปรตีนจากพืชถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้ผลิตเนื้อสัตว์และบริษัทผลิตภัณฑ์จากนมต่างมองหาวิธีกระตุ้นผู้บริโภคด้วยการออกผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มพรีเมียมที่มีคุณค่าทางโภชนาการและดีต่อสุขภาพสู่ตลาด

 

ข้อมูลจากระบบ Mintel Global New Products Database (GNPD) เปิดเผยว่า 47% ของผลิตภัณฑ์นมที่ได้จากพืชและมีการเปิดตัวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก(APAC)ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาถึงเดือนพฤษภาคม 2564 มีการอ้างอิงข้อมูลผลิตภัณฑ์ในเรื่องความยั่งยืน (ของที่อยู่อาศัย/ทรัพยากรสถิติการอ้างอิงข้อมูลดังกล่าวนับเป็นตัวเลขที่บ่งชี้ถึงโอกาสในการเติบโตของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เป็นอย่างมาก

 

Tan Heng Hong นักวิเคราะห์ในกลุ่มนวัตรกรรมอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาค APAC  กล่าวว่า การเติบโตของกลุ่มผู้บริโภคอาหารและเครื่องดื่ม สายกรีน’ จัดเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้จะช่วยผลักดันโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญแก่ผู้ผลิตและแบรนด์ผลิตภัณฑ์จำพวกนมจากพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ตควรที่จะเริ่มให้ความสำคัญในเรื่องอาหารจากพืช สวัสดิภาพสัตว์และความยั่งยืนผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ไปจนถึงกระบวนการผลิตและประโยชน์ที่ผู้บริโภคพึงได้รับจากแบรนด์อีกด้วย

 

ผสมผสานคุณค่าทางอาหารที่ดีที่สุดจากทั้งสองขั้ว

 

ในเอเชียแปซิฟิกเรามักคิดว่าผลิตภัณฑ์นมจากพืชเป็นเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยโภชนาการที่มีประโยชน์และเหมาะกับคนแพ้แลคโตสเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ขณะนี้ผลิตภัณฑ์นมจากพืชมีคุณสมบัติที่เหมาะสมไม่เพียงแต่สำหรับผู้แพ้สารอาหารเท่านั้น แต่ยังเหมาะสมและสามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่สนใจการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มจากพืชที่ใส่ใจในเรื่องความยั่งยืนและสวัสดิภาพสัตว์เช่นกัน

 

ทั้งนี้ เมื่ออ้างอิงผลการวิจัยของ Mintel พบว่า 35% ของผู้บริโภคในประเทศจีนที่อาศัยในเมืองต้องการเครื่องดื่มโปรตีนจากพืชที่มีส่วนผสมของนม ในขณะที่ 22% ของผู้บริโภคมองหาเครื่องดื่มโปรตีนจากพืชที่มีส่วนผสมจากพืชสองชนิดขึ้นไป ขณะที่ในประเทศอินเดียพบว่าผู้บริโภคเกือบ ใน 5 (17%) กล่าวว่าน้ำนมที่มีสีขาวมีประโยชน์มากกว่านมจากพืช

 

Heng Hong เสนอแนะว่า บริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมสามารถใช้โอกาสนี้ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ dairy-free ผ่านกรรมวิธีผสมผสานคุณประโยชน์จากน้ำนมที่มีสีขาวและโภชนาการที่มากมายจากนมที่ผลิตจากพืช การผสมผสานผลิตภัณฑ์เช่นนี้จะคลี่คลายประเด็นเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพที่เป็นอุปสรรคในการบริโภคได้ อย่างเช่นตลาดประเทศอินเดียที่บริโภคผลิตภัณฑ์จากนมเป็นหลักในมื้ออาหาร

ผู้บริโภคมองหาความหลากหลายในส่วนผสมจากพืชมากขึ้น

 

จากผลวิจัยของ Mintel พบว่า 70% ของผู้บริโภคคนไทยต้องการเห็นความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ non-dairy มากขึ้นและอ้างอิงข้อมูลจากฐานข้อมูล Mintel GNPD เปิดเผยว่า ในเอเชียแปซิฟิกระหว่างเดือนมิถุนายน 2563 ถึงเดือนพฤษภาคม 2564 ถั่วเหลือง (48%) เป็นส่วนผสมหลักในโยเกิร์ตถ้วยและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากพืช


อย่างไรก็ตาม ความนิยมในการบริโภคถั่วเหลืองมีแนวโน้มลดลงและสวนทางกับการเติบโตของส่วนผสมจำพวกถั่วที่รวมถึงอัลมอนด์ มะม่วงหิมพานต์ ธัญพืชและเมล็ดพืชต่าง ๆ ในประเทศจีน ผู้ดื่มชาถึง 59% เล็งเห็นคุณค่าทางโภชนาการจากข้าวโอ๊ต โดยข้อมูลจาก Mintel GNPD พบว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านถึงเดือนพฤษภาคม 2564 ความนิยมของนมข้าวโอ๊ตในธุรกิจบริการอาหารได้ขยายตัวเข้าสู่ร้านค้าปลีกด้วยอัตราการเติบโตถึง 110% สำหรับผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ตที่มีส่วนผสมจากข้าวโอ๊ต เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันเมื่อปีที่ผ่านมา

 

Heng Hong สรุปทิ้งท้ายว่า แม้ส่วนผสมจากพืชอย่าง ข้าวโอ๊ต ข้าวและถั่วต่าง ๆ จะเป็นหัวใจสำคัญของนวัตกรรม ถั่วเหลืองยังคงเป็นส่วนผสมที่ยืนหนึ่งเนื่องจากความนิยมและจากการที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายมานานที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ดังนั้นแบรนด์ต่าง ๆ จึงมีโอกาสที่จะยกระดับผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองของแบรนด์ให้เหมาะสมและตอบโจทย์ผู้บริโภคอยู่เสมอ นอกจากนี้ การที่นมและโยเกิร์ตจากพืชต้มีแนวโน้มว่า จะเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดเอเชีย บริษัทต่างๆจะต้องมั่นใจว่าแม้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะผลิตจากพืชอื่นๆ ที่ไม่ใช่ถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์ฌหล่านี้จะต้องเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างแพร่หลายจริง ๆ ทั้งในเรื่องราคาและรสชาติของผลิตภัณฑ์


หมายเหตุ:

*Mintel Global Consumer, เดือนกรกฎาคม 2020

**Mintel Global Consumer, เดือนธันวาคม 2019

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ที ลีสซิ่ง จับมือ ศรีประจันต์วัฒนยนต์ จัดอบรม "ขับขี่ปลอดภัย ร่วมใจลดมลพิษ" โรงเรียนสงวนหญิง จ.สุพรรณบุรี

  บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด  ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้ อรถจักรยานยนต์  ในเครือ เอ็ม บี เค  เล็งเห็นความสำคัญของการขับขี่ รถบนท้องถนนอย่างปลอ...