กรุงเทพฯ – 26 เมษายน 2564 – เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกต้องอยู่บ้าน
การจับจ่ายส่วนมากจึงกลายมาเป็นการซื้อผ่านออนไลน์ ตั้งแต่ของสดไปจนถึงอุปกรณ์ทำสวน
โดยรายงาน Recovery Insights หรือรายงานอัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศฉบับล่าสุดของมาสเตอร์การ์ดเผยว่า
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ทั่วโลก
มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
(หรือราว 28 ล้านล้านบาท) ในหมวดการค้าปลีกผ่านช่องทางออนไลน์ในปี
2563 กล่าวได้ว่าการค้าปลีกผ่านอีคอมเมิร์ซในปี 2563 มีสัดส่วนราว 1 เหรียญสหรัฐต่อทุกๆ 5 เหรียญสหรัฐของการ
ค้าปลีกทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 1 เหรียญสหรัฐต่อทุกๆ
7 เหรียญสหรัฐของการค้าปลีกทั้งหมดในปี 25621
ข้อมูลจากรายงาน Recovery Insights: Commerce
E-volution ของมาสเตอร์การ์ดประมาณอย่างคร่าวๆ ว่า 20-30% ของการเปลี่ยนแปลงสู่รูปแบบดิจิทัลที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
จะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบถาวร โดยรายงานฉบับนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากการทำธุรกรรมและกิจกรรมต่างๆ
ผ่านเครือข่ายของมาสเตอร์การ์ดแบบไม่เปิดเผยตัวตนของเจ้าของข้อมูล รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของมาสเตอร์การ์ด
หรือ Mastercard Economics Institute ซึ่งรายงานฉบับนี้ได้เจาะลึกสถานการณ์การฟื้นตัวทั่วโลก
โดยแบ่งตามประเทศและภาคอุตสาหกรรม ทั้งด้านสินค้าและบริการ และทั้งในและระหว่างประเทศ
แม้ว่าการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับธุรกิจทุกราย
เนื่องจาก
มีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ สถานะทางเศรษฐกิจ และสภาพครัวเรือน
แต่รายงายฉบับนี้ได้เผยถึงแนวโน้มสำคัญที่เกิดขึ้นกับทุกธุรกิจหลายประการ
อันได้แก่:
·
กลุ่มประเทศที่นำกระแสดิจิทัลมาใช้ก่อนเห็นผลกำไรเร็วกว่า: ประเทศที่มีความเป็นดิจิทัลสูงตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์เช่นสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาเห็นผลกำไรจากการเปลี่ยนแปลงในประเทศสู่ความเป็นดิจิทัลที่ทั้งสูงกว่าและถาวรกว่าประเทศอย่างอาร์เจนตินาและเม็กซิโก
ที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีสัดส่วนน้อยกว่า ทั้งนี้ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อเมริกาเหนือ
และยุโรปเป็นภูมิภาคที่มีการขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซสูงที่สุด
· ร้านขายของชำและซุปเปอร์มาร์เก็ตจะยังคงทำกำไรอย่างต่อเนื่อง: การค้าปลีกในหมวดสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันซึ่งมีสัดส่วนในตลาดดิจิทัลน้อยที่สุดในช่วงก่อนเกิดวิกฤตได้รับผลกำไรมากที่สุดเมื่อผู้บริโภคปรับตัว
ด้วยพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภคและฐานผู้ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เดิมมีจำนวนน้อย
มาสเตอร์การ์ด
คาดว่า 70-80% ของการซื้อของชำบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจะกลายเป็นเรื่องถาวร
· ธุรกิจอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศโตขึ้น 25-30% ในช่วงการแพร่ระบาด: ธุรกิจอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ
มีทั้งปริมาณการซื้อของและจำนวนประเทศที่มีผู้สั่งซื้อเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายของผู้บริโภคในตลาดอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง
25-30% ในช่วงเดือนมีนาคมปี 2563 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2564
·
ผู้บริโภคเพิ่มช่องทางการซื้อสินค้าปลีกบนอีคอมเมิร์ซ
โดยจำนวนช่องทางที่ทำการซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 30%: ผู้บริโภคทั่วโลกซื้อสินค้าปลีกจากหลากหลายเว็บไซต์และแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ซึ่งสะท้อน
ให้เห็นถึงตัวเลือกของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ประชาชนในประเทศเช่นอิตาลีและซาอุดีอาระเบียมีการซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์มากมาย
โดยจำนวนของร้านค้าออนไลน์ที่ทำการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 33% โดยเฉลี่ย
ตามมาด้วยประเทศรัสเซียและสหราชอาณาจักร
·
การเปลี่ยนไปใช้การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์กำลังพุ่งขึ้นในสหรัฐอเมริกา:
เนื่องจากโควิด-19
เร่งให้เกิดการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล ผู้บริโภคเลือกใช้จ่ายแบบไร้สัมผัสแทนเงินสดมากขึ้นแม้ในร้านค้า
จากการวิเคราะห์ของมาสเตอร์การ์ดเกี่ยวกับรูปแบบการชำระเงินตามร้านค้าปลีกและร้านอาหาร
พบว่าการชำระเงินที่ไม่ใช้เงินสด
มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก 2.5% จากแนวโน้มเดิมที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชำระเงินที่รวดเร็วอย่างยิ่งในช่วงหนึ่งปี
ผู้สนใจสามารถดูรายงาน Recovery
Insights: Commerce E-volution ฉบับเต็มได้ที่นี่
ในปีที่ผ่านมามาสเตอร์การ์ดได้จัดทำรายงาน Recovery Insights เพื่อช่วยให้ธุรกิจและรัฐบาลสามารถประเมินและจัดการกับความเสี่ยงด้านสุขอนามัย
ความปลอดภัย และเศรษฐกิจที่เกิดจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ได้ดียิ่งขึ้น
โดยรายงานฉบับนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากการวิเคราะห์และทดลองบนแพลตฟอร์มของมาสเตอร์การ์ด
รวมถึงความเชี่ยวชาญจากการให้คำปรึกษามาอย่างยาวนาน และข้อมูลเชิงลึกที่ไม่เหมือนใคร
เพื่อจัดทำเครื่องมือ นวัตกรรม และการวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
การจัดทำรายงาน
รายงานฉบับนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากการทำธุรกรรมและกิจกรรมต่างๆ
ผ่านเครือข่ายของมาสเตอร์การ์ดแบบไม่เปิดเผยตัวตนของเจ้าของข้อมูล รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของมาสเตอร์การ์ด
1สถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของมาสเตอร์การ์ดรวบรวมข้อมูลจากการทำธุรกรรมและกิจกรรมต่างๆ
ผ่านเครือข่ายของมาสเตอร์การ์ด และสร้างแบบจำลองการค้าปลีกออนไลน์ทั่วโลกด้วยการชำระเงินทุกประเภท
เพื่อคำนวณยอดใช้จ่ายของการค้าปลีกผ่านอีคอมเมิร์ซที่นอกเหนือจากแนวโน้มปรกติ
เกี่ยวกับสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของมาสเตอร์การ์ด
สถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของมาสเตอร์การ์ดเปิดตัวในปี
2563 เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจในระดับมหภาคผ่านมุมมองของผู้บริโภค
ทางสถาบันมีทีมนักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่คอยร่วมกันใช้ข้อมูลเชิงลึกของมาสเตอร์การ์ดเช่น
Mastercard SpendingPulse™ และข้อมูลจากองค์กรที่สามเพื่อจัดทำรายงานเกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อลูกค้าหลัก พันธมิตร และผู้กำหนดนโยบาย
เกี่ยวกับมาสเตอร์การ์ด www.mastercard.com
มาสเตอร์การ์ด
เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกด้านการชำระเงิน
เป้าหมายของเราคือการเชื่อมต่อและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลให้ครอบคลุมและเป็นประโยชน์แก่คนทุกคนในทุกพื้นที่
โดยการทำให้ธุรกรรมการเงินเป็นเรื่องปลอดภัย สะดวก และเข้าถึงได้
ด้วยข้อมูลที่ปลอดภัยและเครือข่ายพันธมิตร ทำให้เรามีนวัตกรรมและโซลูชั่นต่างๆ
ที่สามารถช่วยบุคคลทั่วไป สถาบันการเงิน รัฐบาล
และธุรกิจให้ตระหนักถึงศักยภาพของตัวเอง การทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อคนในองค์กร
คือวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนทั้งภายในและภายนอกองค์กรของเรา ด้วยเครือข่ายในกว่า 210
ประเทศและพื้นที่ เราได้สร้างโลกที่ยั่งยืนและปลดล็อคความเป็นไปได้ในหลายๆ ด้าน
หมายเหตุ
©
2021 การวิเคราะห์และเนื้อหาในรายงานฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นเครื่องมือทางการศึกษาในการให้ข้อมูลเท่านั้น
ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน หรือคำแนะนำสำหรับการดำเนินการใดโดยเฉพาะ และไม่ควรใช้ข้อมูลเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจด้านธุรกิจหรือการลงทุน
เนื้อหาในรายงานไม่ได้มีการรับรองด้านความถูกต้อง และเป็นการให้ข้อมูลบนพื้นฐาน
"ตามที่ระบุ" แก่ผู้ใช้โดยต้องรับผิดชอบความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วยตัวเอง
เนื้อหาในรายงานฉบับนี้ตั้งแต่การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการจำลองต่างๆ จากสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของมาสเตอร์การ์ด
ไม่ได้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินของมาสเตอร์การ์ดแต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น