หลังจากมีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เรื่องชำระบัญชี
จดทะเบียนเลิก บริษัท ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์ บางปะกง จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแสดงความรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพสัตว์ทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในสวนสัตว์
โดยเฉพาะระหว่างช่วงที่อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ
นางสาวโรจนา
สังข์ทอง ผู้อำนวยการ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย
กล่าวว่า “ถึงตอนนี้อนาคตของฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการจะยังไม่ชัดเจน
เราขอเรียกร้องให้เจ้าของกิจการ ทำแผนการจัดการสัตว์ป่าทุกประเภทที่อยู่ในการครอบครอง
แน่นอนว่าสัตว์เหล่านี้อาจจะต้องถูกเปลี่ยนเจ้าของ เราคาดหวังให้เจ้าของรายใหม่เร่งพัฒนามาตรฐานการเลี้ยงดูโดยคำนึงถึงหลักสวัสดิภาพสัตว์มากขึ้น
เริ่มได้จากยกเลิกการแสดงโชว์ทั้งหมด
ที่มีการบังคับให้สัตว์ป่าต้องแสดงพฤติกรรมที่ผิดธรรมชาติทั้งหมด
ซึ่งกิจกรรมลักษณะนี้กำลังได้รับความนิยมน้อยลงเรื่อยๆ จากนักท่องเที่ยวทั่วโลก
โดยการเปลี่ยนผ่านควรจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหน่วยงานรัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องเพื่อความโปร่งใสด้วย”
ในกรณีที่เจ้าของกิจการไม่ประสงค์จะครอบครองสัตว์อีกต่อไป
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เข้ามามีบทบาทในการดูแล สวัสดิภาพของสัตว์ป่าที่จะถูกยึดครองเข้ามาเป็นของรัฐทั้งหมด
ในขณะเดียวกัน ยังเรียกร้องให้กรมอุทยานฯ ปรับปรุงมาตรการจดทะเบียนสวนสัตว์เอกชนให้มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีประวัติ ปล่อยปละละเลยสวัสดิภาพสัตว์สามารถครอบครองสัตว์ป่าได้อีกในอนาคต
ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่รู้จักในฐานะฟาร์มจระเข้แห่งแรกของประเทศไทยและฟาร์มจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีการเพาะพันธุ์และเลี้ยงจระเข้ภายในฟาร์มมากกว่า 50,000
ตัว นอกจากนี้ยังมีสัตว์ป่าอีกจำนวนหนึ่ง
ทั้งเสือ ช้าง หมีควาย และลิง
จากข้อมูลขององค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกที่ติดตามและเก็บข้อมูลด้านสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มจระเข้และ สวนสัตว์สมุทรปราการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ถึง พ.ศ. 2562 พบว่าสัตว์ป่าที่ถูกกักขังต้องใช้ชีวิตอยู่ในสภาพย่ำแย่ บางตัวมีบาดแผลหรืออาการเจ็บป่วยอย่างชัดเจน
สัตว์หลายตัวอยู่ในสภาพผอมโซ ถูกเลี้ยงอย่างไม่เหมาะสม ตลอดจนถูกบังคับให้ทำการแสดงแก่นักท่องเที่ยว
โดยเฉพาะกิจกรรมการโชว์จระเข้และโชว์ช้าง
ปัจจุบัน
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก พบว่าธุรกิจสวนสัตว์เอกชนจำนวนมากทั่วโลกกำลังปิดตัวลง
โดยเฉพาะในปี พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนัก
จากรายได้ที่ลดลงในวิกฤตโรคระบาด
โควิด-19 ส่งผลให้สัตว์ป่าในกรงขังจำนวนมากตกอยู่ในความเสี่ยง
นายฉัตรณรงค์ เมืองวงษ์
ผู้จัดการแคมเปญสัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย ระบุว่า
“ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าภาครัฐและประชาชนอาจจะใจดีเกินไป
ปล่อยให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกอบโกยกำไร บนความทุกข์ทรมานของสัตว์ป่าจำนวนมากและเป็นระยะเวลานาน
แต่ธุรกิจเหล่านี้กลับไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตสัตว์ป่าได้เลยในภาวะวิกฤต
ต้องกลายเป็นภาระของภาครัฐและภาษีของประชาชนในการจัดการดูแลแทน ตอนนี้รัฐบาลหลายๆ
ประเทศจึงเริ่มพิจารณาเพิ่มมาตรฐานการควบคุมและจัดการสัตว์ป่าภายในกิจการสวนสัตว์เอกชนกันแล้ว
ล่าสุดคือฝรั่งเศสที่ออกกฎหมายแบนการใช้สัตว์ป่าในการแสดงไปเมื่อต้นปี”
สวัสดิภาพของสัตว์ป่าเป็นหัวใจสำคัญของข้อเรียกร้องนี้
ดังนั้นองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกจึงยึดมั่นในจุดยืนที่จะไม่สนับสนุนการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อป้อนเข้าสู่ธุรกิจการท่องเที่ยว
และไม่สนับสนุนทุกกิจกรรมที่เป็นการค้า สัตว์ป่า ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย ทางองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกเน้นย้ำด้วยว่าการกอบโกยผลประโยชน์จากชีวิตสัตว์ป่าไม่ได้แค่ทำให้ชีวิตสัตว์ป่าต้องทุกข์ทรมานเท่านั้น
แต่ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อคนด้วย เพราะเป็นที่มาของโรคระบาดจากสัตว์สู่คนหลายชนิด
อย่างเช่นโรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดทั่วโลกอยู่ในขณะนี้
“สัตว์ป่าไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ความบันเทิงแก่มนุษย์
หรือไม่ใช่สินค้า พวกมันสมควรได้แสดงออกพฤติกรรมตามธรรมชาติและใช้ชีวิตอย่างอิสระอยู่ในป่า
ถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องร่วมมือกันยุติการแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจจากสัตว์ป่า
เพื่อปกป้องชีวิตสัตว์ สุขภาพมนุษย์ และระบบเศรษฐกิจโลก” นายฉัตรณรงค์กล่าวปิดท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น