จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นับตั้งแต่ต้นปี 2563 ต่อเนื่องมาจนถึงการระบาดระลอกใหม่ในปัจจุบัน
ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบและสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อทุกภาคส่วน
ทั้งในด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน
พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ทุกคนต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคนิวนอร์มอล
แต่ยังรวมไปถึงรูปแบบการทำงานและการหารายได้เพื่อเลี้ยงปากท้องด้วย
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อย พนักงานประจำ
ลูกจ้างทั่วไป พ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร
หรือแม้แต่ผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือกลุ่มฟรีแลนซ์
สถานการณ์ครั้งนี้ได้มอบบทเรียนสำคัญให้กับทุกคน นั่นคือ การดำเนินชีวิตอย่างมีสติ
ไม่ประมาท และต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
การวางแผนชีวิตและการเงินถือเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้เราสร้างความมั่นคงทางการเงิน
และเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดฝันในอนาคต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤติ หนึ่งในหนทางง่ายๆ ที่หลายคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
นั่นคือ “การออมเงิน” ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนควรทำให้เป็นนิสัยเมื่อมีรายได้
โดยการแบ่งส่วนหนึ่งของรายได้มาเลือกออมในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การหยอดกระปุก
การฝากประจำ การลงทุนในกองทุนรวม หรือการทำประกันชีวิต เป็นต้น
โดยสัดส่วนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้จ่ายและความจำเป็นของแต่ละคน
เพื่อสำรองในยามฉุกเฉินหรือเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ
สำหรับข้าราชการหรือพนักงานที่มีรายได้ประจำนั้นคงคุ้นเคยกับการออมเพื่อเก็บเงินไว้ใช้หลังเกษียณผ่านกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ปัจจุบันยังมีอีกหนึ่งรูปแบบการออมที่ช่วยวางแผนทางการเงินเพื่อสร้างความอุ่นใจในวัยเกษียณให้กับกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือคนที่ไม่ได้มีรายได้แน่นอนเหมือนแรงงานในระบบ
นั่นคือ การออมผ่าน “กองทุนการออมแห่งชาติ” โดยสามารถส่งเงินออมขั้นต่ำเพียง 50
บาทเท่านั้น สูงสุด 13,200 บาทต่อปี ทั้งยังได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลอีกด้วย
ในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่ส่งเสริมให้คนไทยสามารถสร้างรายได้เสริมจากการใช้แอปพลิเคชันในการให้บริการเรียกรถ
จัดส่งอาหาร หรือแม้แต่จัดส่งสินค้าหรือพัสดุ แกร็บ ประเทศไทย
นับเป็นหนึ่งในหน่วยงานภาคเอกชนที่สนับสนุนให้คนที่ยังไม่มีสวัสดิการรองรับในวัยเกษียณอายุหันมาให้ความสำคัญกับการออม
โดยในช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา แกร็บ ได้ประกาศความร่วมมือกับ
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
เพื่อสร้างความตระหนักและส่งเสริมการออมให้กับกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับและผู้จัดส่งอาหาร-พัสดุของแกร็บ
ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมากกว่าแสนราย
ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่อาจเป็นคนที่มีงานประจำและเข้าถึงรูปแบบการออมเพื่อใช้หลังเกษียณอย่างเป็นระบบ
แต่ก็ยังมีพาร์ทเนอร์คนขับบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มคนขับแท็กซี่
ที่ยังถือเป็นแรงงานอิสระ โดยนับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา แกร็บได้จัดการอบรมเพื่อให้ความรู้กับพาร์ทเนอร์คนขับที่สนใจโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจาก
กอช. พร้อมเปิดรับชำระเงินออมสะสมผ่านศูนย์บริการพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บ (Grab Driver Center)
ณ ชั้น 30 อาคารธนภูมิ
ภัทร – จิรภัทร โสภาลัย พาร์ทเนอร์คนขับ GrabTaxi วัย 48 ปี กล่าวว่า
“ที่ผ่านมาไม่ค่อยได้มีโอกาสออมเงินสักเท่าไหร่ เพราะมีค่าใช้จ่ายเยอะ
แต่ก็สนใจเรื่องการออมมาตลอด เราเคยได้ยินโครงการนี้ของ กอช. มาบ้าง
เพราะมีส่วนที่รัฐบาลช่วยสมทบด้วย
การที่มีคำว่าแห่งชาติต่อท้ายช่วยสร้างความมั่นใจว่ามันมีประโยชน์ต่อเราและวางใจได้แน่นอน
อีกอย่างที่ทำให้สนใจมากก็คือ เราไม่ต้องเอาเงินก้อนใหญ่มาลง เริ่มต้นที่ 50 บาท
เลยลองมานั่งคิดว่ากินก๋วยเตี๋ยวชามเดียวก็ใช้เงินเท่านี้เหมือนกัน
จะมากจะน้อยก็อยู่ที่เรา
การออมรูปแบบนี้เป็นประโยชน์กับคนประกอบอาชีพอิสระอย่างเรามากนะ ผมขับรถมา 20 กว่าปี
มันไม่มีอะไรเป็นหลักประกันให้เราได้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย จะรอ 30
บาทอย่างเดียวก็ไม่ได้ เราก็มองว่าในภายภาคหน้า เราจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเงินออม
การที่ได้มาฟังข้อมูลจากกองทุนการออมแห่งชาติทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายเลย
และผมก็จะไปเชิญชวนเพื่อนๆ มาร่วมโครงการด้วย”
แซม – ยศกร ดวงจิตร์
พาร์ทเนอร์คนขับจัดส่งอาหารผ่าน GrabFood วัย 34 ปี
คุณพ่อลูกสองผู้ได้รับผลกระทบต่องานประจำจากการระบาดของโควิด-19 เผยว่า
“ก่อนหน้านี้ผมสนใจหารายได้เสริมอยู่แล้ว
และพอมีการระบาดของโควิดก็เหมือนเป็นแรงผลักดันให้เริ่มสมัครขับแกร็บส่งอาหารและส่งของจนกลายเป็นงานหลักในตอนนี้
ก่อนหน้านี้ตอนที่ทำงานประจำผมเน้นการออมเงินโดยฝากประจำและประกันชีวิตแบบออมทรัพย์
พอมาขับแกร็บซึ่งถือเป็นอาชีพอิสระผมเลยมองหาการออมเงินรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ชีวิตตอนนี้มากกว่า
ซึ่งการออมเงินกับ กอช. ก็ตอบโจทย์ผมในเรื่องนี้ ทั้งความสะดวกในการเข้าถึง
การวางแผนส่งเงินออมที่สามารถส่งยอดรวมปีละครั้งก็ได้
รวมถึงจำนวนเงินที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากนัก
ทำให้ผมสามารถจัดระเบียบการเงินของตัวเองได้คล่องตัวมากขึ้น
ทำให้มั่นใจว่าตอนเกษียณอย่างน้อยก็มีเงินส่วนนี้ไว้ใช้จ่าย
ซึ่งเป้าหมายต่อไปผมสนใจที่จะวางแผนออมเงินผ่านระบบ กอช.ให้กับลูกๆ ทั้งสองคนเช่นเดียวกัน”
สุดท้ายแล้วแม้ว่าการทำงานจะเป็นหนทางในการสร้างรายได้ให้กับเรา
แต่คงไม่มีใครอยากที่จะทำงานไปตลอดชีวิต
เมื่อผ่านพ้นวัยหนุ่มสาวที่ถือเป็นยุคทองของการทำงาน
เราทุกคนต่างต้องการมีชีวิตที่ราบรื่นและสุขสบายในช่วงวัยเกษียณ หนทางสู่การมีเงินสำรองที่เพียงพอในวัยเกษียณสามารถเป็นจริงได้
เพียงแค่เราเริ่มต้นจัดระเบียบทางการเงินตั้งแต่วันนี้
แบ่งสรรปันส่วนรายได้เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและเก็บออมอย่างมีระบบ
ไม่ว่าจะทำอาชีพไหน ก็สามารถสร้างความมั่นคงในวัยเกษียณได้เหมือนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น