วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2566

เอปสันส่งอีโค่แท็งค์ใหม่ ยกระดับการพิมพ์ในสำนักงาน

 


เอปสันเติมความคึกคักให้ตลาดพรินเตอร์ด้วยการเปิดตัว EcoTank พื่อการใช้งานในสำนักงาน ชูเทคโนโลยีการพิมพ์แบบไร้ความร้อน เพิ่มความคุ้มค่าสูงสุด ผ่านการประหยัดพลังงาน ประหยัดเวลา ใช้งานได้ต่อเนื่องไม่มีสะดุด และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

จากผลสำรวจของ GfK Asia ที่ได้ทำการสำรวจผู้ใช้พรินเตอร์ในสำนักงานทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน 2,864 คน ผลปรากฏว่า 98% ชื่นชอบ Epson EcoTank โดยผู้ร่วมสำรวจในประเทศสิงคโปร์ ชี้ถึงปัจจัยหลักในการพิจารณาเลือกซื้อพรินเตอร์ คือ เทคโนโลยีที่ยั่งยืน คุณภาพงานพิมพ์ที่เหนือกว่า ต้นทุนการทำงานต่ำ รวมถึงความง่ายในการบำรุงรักษา และความน่าเชื่อถือของพรินเตอร์ ซึ่งตรงกับนโยบายการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเอปสันนั่นเอง เอปสันจึงเดินหน้ารุกตลาดต่อเนื่อง ด้วยการส่งพรินเตอร์ EcoTank เพื่อการใช้ในสำนักงาน ได้แก่ รุ่น L3550 และ L5590 พรินเตอร์แบบมัลติฟังก์ชันที่รองรับงานพิมพ์ขนาด A4 และพิมพ์แบบไร้ขอบสูงสุดขนาด 4R ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัดแต่ฟังก์ชันครบจบในเครื่องเดียว มาพร้อมชุดหมึกขวดบรรจุสูง 4 สี ดยชุดหมึก 1 ชุดสามารถพิมพ์ขาวดำได้ 4,300 แผ่น และพิมพ์สีได้ถึง 7,300 แผ่น สำหรับความเร็วในการพิมพ์ขาวดำและสีอยู่ที่ 15 และ 8 ภาพต่อนาที (ipm) และสำหรับรุ่น L5590 มาพร้อมกับฟังก์ชั่นแฟกซ์ในตัว กล่องบำรุงรักษาถอดเปลี่ยนเองได้อย่างง่ายดาย ทำให้ไม่เสียเวลานำเครื่องไปที่ศูนย์บริการ พร้อมรองรับการใช้งานแอพพลิเคชั Epson Smart Panel ที่ช่วยในการสั่งพิมพ์ผ่านโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต ทำให้สามารถพิมพ์งานจากที่ใดก็ได้ เหมาะสำหรับใช้งานในแผนกต่างๆ ของสำนักงาน

นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นนี้ยังใช้เทคโนโลยีหัวพิมพ์ PrecisionCore แบบ Heat-Free ที่ไม่ใช้ความร้อนในการพิมพ์ สามารถช่วยลูกค้าลดภาระจากกระบวนการพิมพ์ที่ต้องเผชิญเมื่อเลือกใช้เลเซอร์พรินเตอร์ ทั้งค่าไฟที่ลดลง ใช้ชิ้นส่วนอะไหล่และวัสดุสิ้นเปลืองน้อยกว่า จึงช่วยลดโอกาสเกิดความเสียหาย ดูแลรักษาง่ายกว่า อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงฮาร์ดแวร์ยังผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 30%

มีการ
ใช้วัสดุสิ้นเปลืองน้อยกว่าพรินเตอร์แบบตลับหมึกถึง 84% และบรรจุภัณฑ์ทำจากกระดาษแข็งรีไซเคิลกว่า 80% ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายเพื่อความยั่งยืนของเอปสัน และได้รับการพัฒนาให้มีอายุการใช้งานที่นานขึ้นกว่า EcoTank รุ่นก่อน เอปสันจึงพร้อมรับประกันนาน 2 ปี หรือ 50,000 แผ่น แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน

สนใจข้อมูลสินค้าติดต่อเอปสัน คอลเซ็นเตอร์ 0-2460-9699 หรือเว็บไซต์ www.epson.co.th เฟสบุ๊ค facebook.com/epsonthailand และ LINE Official Account Epson Thailand

มอบเมนูจานพิเศษเติมเต็มความหวานผ่านเมนู “เซิร์ฟ แอนด์ เทิร์ฟ ทาวเวอร์”

 


ดื่มด่ำบรรยากาศแสนโรแมนติกยามค่ำคืน พร้อมเนรมิตดินเนอร์อันแสนหวานให้คุณและคนรู้ใจ
ด้วยเมนู เลิฟ ทู แชร์ “เซิร์ฟ แอนด์ เทิร์ฟ ทาวเวอร์”
Love to share “Surf & Turf Tower” เมนูที่จะสร้างความประทับใจในค่ำคืนอันสุดแสนพิเศษ ห้องอาหารเรดสกาย โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์

 

เลิฟ ทู แชร์ เซิร์ฟ แอนด์ เทิร์ฟ ทาวเวอร์เมนูที่ผสมผสานทุกความลงตัวจนได้เป็นเมนูไฮไลท์อันดับ 1 ประจำห้องอาหาร ที่เหมาะสมกับการมาเป็นคู่ ด้วยอาหารทะเลสดและเนื้อเกรดพรีเมียม นำมาเนรมิตเป็นเมนูชั้นเลิศที่บรรจงปรุงอย่างพิถีพิถัน ด้วยวัตถุดิบชั้นคุณภาพทั่วทุกมุมโลกมาให้คุณได้ลิ้มรสความอร่อย อาทิ เนื้อวากิวริบอาย ซี่โครงแกะออสเตรเลีย ล็อบสเตอร์จากรัฐเมนย่าง กุ้งอันดามัน ก้ามปู อลาสก้ารสหวาน และหอยเชลล์สดจากฮอกไกโด ทั้งหมดเสิร์ฟพร้อมผักเครื่องเคียง มันฝรั่งอบยัดไส้ และซอสชนิดต่างๆ ในราคาเพียงเซ็ตละ 7,555++ บาท (ไม่รวมอัตราภาษีและค่าบริการ) ร่วมแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุขให้แก่คนรู้ใจท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก ชมทัศนียภาพอันสวยงามยามค่ำคืนแบบ 360 องศา บนยอดตึกสูงกลางใจเมือง และการบริการอันน่าประทับใจ ณ ห้องอาหารเรดสกายชั้น 55 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ฯ เซ็นทรัลเวิลด์ เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 17.00 น. ถึง 01.00 น. 

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือ สำรองที่นั่งได้ที่ โทร. 02 - 100 - 6255 หรืออีเมล์: diningcgcw@chr.co.th

 

ติดตามข่าวสารของห้องอาหารเรดสกายได้ที่

เว็บไซต์: https://www.bangkokredsky.com/

เฟสบุ๊ค: Red Sky Bangkok

อินสตาแกรม: redskybkk_centara


“เอเชีย เอรา วัน” ร่วมกับ อีจีส เรล ลงนามในบันทึกข้อตกลงส่งเสริมความร่วมมือ ด้านโปรแกรมฝึกอบรมและพัฒนาการให้บริการระบบราง

 


กรุงเทพมหานครฯ - บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ผู้ร่วมลงทุนและดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยปัจจุบันสนับสนุนการเดินรถและซ่อมบำรุง แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ภายใต้การกำกับดูแลของบริษัท รถไฟฟ้า ร..จำกัด ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงหรือ MOU กับ  บริษัท อีจีส เรล (ประเทศไทยจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมการก่อสร้าง และการดําเนินงานระบบรางในระดับโลก เพื่อร่วมกันพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งมวลชนประเภทราง มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การแบ่งปันความรู้ การเทียบเคียงกระบวนการทำงานและการดำเนินงาน  และการพัฒนาสมรรถนะเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมและสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว จัดขึ้น ณ อาคารทรู ทาวเวอร์ 1

ดรฮั่ว ตงอี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด กล่าวในพิธีลงนาม MOU ว่า "เอเชีย   เอรา วัน ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ อีจีส เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาศักยภาพในอุตสาหกรรมรถไฟ ภายใต้เงื่อนไขของความร่วมมือในครั้งนี้ เรามุ่งจัดตั้งหลักสูตรการฝึกอบรมที่ตรงจุด เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ให้กับบุคลากร ถือเป็นการปรับให้เหมาะกับความต้องการของอุตสาหกรรม เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มทักษะและความรู้ของแรงงานในอุตสาหกรรมระบบราง ให้พร้อมรับมือต่อสภาพแวดล้อมและแนวโน้มของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายพร้อมทำงานร่วมกันในการวิจัยและพัฒนาเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านบริการระบบราง เพื่อให้สามารถจัดการกับประเด็นปัญหาเร่งด่วนที่กําลังเผชิญอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างให้อุตสาหกรรมเกิดการเติบโตด้วยนวัตกรรม"

"นอกจากการฝึกอบรมแล้ว ยังมีกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ และแลกเปลี่ยนวิธีปฏิบัติ ที่เป็นเลิศ (Best Practices) ซึ่งจะช่วยให้ เอเชีย เอรา วัน และ อีจีส มีวิธีการในการวัดและเปรียบเทียบกับองค์กร ในบริบทของอุตสาหกรรมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในด้านการดําเนินงานและการบํารุงรักษา” ดร. ฮั่ว กล่าวเพิ่มเติม

ด้านนายสฤษดิ์ จิณสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด กล่าวว่า "ความร่วมมือกับ   อีจีส ในครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจของเอเชีย เอรา วัน ในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับอุตสาหกรรมระบบรางด้วยการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านความร่วมมือในครั้งนี้ยังสอดคล้องกับพันธกิจด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มุ่งเน้นให้เกิดวัฒนธรรมการเรียนรู้และเสริมสร้างประสบการณ์ตรงให้กับบุคลากร ด้วยความตระหนักว่าทรัพยากรสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตและความสำเร็จของธุรกิจอย่างยั่งยืนคือบุคลากรภายในองค์กร ส่งผลให้เกิดการพัฒนาแรงงานที่มีทักษะสูง ช่วยยกระดับธุรกิจและการให้บริการด้านระบบราง พร้อมสร้างให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ เตรียมพร้อมกับอุตสาหกรรมที่มีมรรถนะสูง"

ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวและผลักดันขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบราง ทั้งสององค์กรจะทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ด้วยการเอาชนะความท้าทายที่อุตสาหกรรมต้องเผชิญ ดังเช่น การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ตลอดจนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์อย่างเหมาะสม

"ในปัจจุบันที่เกิดความท้าทายต่างๆ บนโลก อีจีส ในฐานะหนึ่งในองค์กรด้านวิศวกรรมและการปฏิบัติการชั้นนําในระดับสากล จึงมีเป้าหมายที่จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสําหรับประชาคมโลก สอดคล้องกับพันธกิจของเราในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมายดังกล่าว เพื่อช่วยยกระดับการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมระบบรางให้เป็นระบบการขนส่งในรูปแบบอัจฉริยะและครบวงจร สามารถตอบสนองจุดมุ่งหมายในการขับเคลื่อนอนาคตของทุกคนได้นายฟิลิปป์ ชูลแชงแชร์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย สายธุรกิจขนส่งบริษัท อีจีส จำกัด กล่าว

02_ “เอเชีย เอรา วัน” ร่วมกับ อีจีส เรล .jpg

"บันทึกความร่วมมือฉบับนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทั้งสององค์กรจัดการฝึกอบรมและการพัฒนา และถือเป็นจุดเริ่มต้นความคิดริเริ่มให้เกิดความร่วมมืออันดีระหว่างกัน นอกเหนือจากการแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดี (best practicesในการดําเนินงานและการบํารุงรักษาระบบรางแล้ว ทั้งสององค์กรยังสามารถใช้ความเชี่ยวชาญและทรัพยากรร่วมกันเพื่อพัฒนาโซลูชั่นและการบริการที่ดีขึ้นสําหรับผู้โดยสาร เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทย" ายฟิลิปป์ กล่าวเสริม

เอเชีย เอรา วัน และ อีจีส เชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสององค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมระบบราง ให้เกิดความยั่งยืน เกิดประสิทธิภาพ ตลอดจนนวัตกรรมใหม่ที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่กําลังเติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างทันท่วงที

โรงรับจำนำอีซี่มันนี่ใส่ใจและเอาใจใส่ลูกค้าด้วยคุณภาพเก็บทรัพย์ ISO ทั้ง 85 สาขาในประเทศไทย

 


โรงรับจำนำอีซี่มันนี่ตอบรับความไว้วางใจของลูกค้า ยกระดับคุณภาพการบริการสู่มาตรฐานสากล ผ่านการตรวจประเมิน ISO 9001:2015 ระบบมาตรฐานการจัดการคุณภาพด้านการบริหารและจัดเก็บทรัพย์ ทั้ง 85 สาขาในประเทศไทย โรงรับจำนำอีซี่มันนี่ใส่ใจและเอาใจใส่ลูกค้าทุกคน เพื่อให้ได้รับคุณภาพการบริการที่ดีที่สุด

คุณสิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด ผู้ให้บริการ โรงรับจำนำ Easy Money” เปิดเผยว่าโรงรับจำนำอีซี่มันนี่เป็นสถาบันสินเชื่อทางเลือกอันดับหนึ่งของคนไทย ซึ่งเป็นมืออาชีพในการดูแลทรัพย์ของลูกค้า บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลทรัพย์ของลูกค้าที่นำมาจำนำเป็นอย่างมาก เมื่อลูกค้าให้ความไว้วางใจในฝากทรัพย์สินไว้กับโรงรับจำนำอีซี่มันนี่ โรงรับจำนำจะดูแลทรัพย์ทุกชิ้นของลูกค้าเป็นอย่างดีเสมือนว่าเราดูแลทรัพย์ของเราเอง ทรัพย์สินของลูกค้าจะถูกบรรจุเก็บอย่างประณีต ป้องกันการกระทบกัน แยกประเภททรัพย์ และเก็บรักษาในห้องที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุดเทียบเท่าสถาบันการเงินชั้นนำ

โรงรับจำนำอีซี่มันนี่จริงจังในการให้บริการและดูแลลูกค้า โดยมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความไว้วางใจจากลูกค้าทุกคน การได้รับการรับรองมาตราฐาน ISO ด้านการบริหารและจัดเก็บทรัพย์นี้ แสดงถึงความตั้งใจและใส่ใจในการตอบรับความไว้วางใจของลูกค้า และการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง


2 (1).png

ด้วยคุณภาพการบริการและการดูแลลูกค้าอย่างใส่ใจ รวมถึงมาตรฐานการบริหารและจัดเก็บทรัพย์ที่ได้รับการรับรองด้วยมาตรฐานสากล ทำให้โรงรับจำนำ Easy Money เป็นที่นิยมและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าจำนวนมาก สำหรับผู้ที่ต้องการจำนำทรัพย์สินหรือต้องการใช้บริการอื่นๆ สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.easymoney.co.th หรือติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ทุกสาขาของโรงรับจำนำ Easy Money ทั่วประเทศ หรือโทรศัพท์ Call center : 02-113-1123

มินเทล เผยเทรนด์ผู้บริโภคหลังโควิด หันมาใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเชิงป้องกันมากกว่าใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อแก้ปัญหา

 


การสิ้นสุดของการระบาดส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและผลิตภัณฑ์ความงามเพื่อการป้องกันกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง

    สิวเป็นปัญหาหลักของ Gen Z (59%) แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกัน

    Gen X มีความกังวลเกี่ยวกับความหมองคล้ำ (64%) ริ้วรอยแห่งวัย (62%) และ จุดด่างดำ (60%) มากที่สุด

    มินเลนเนียลนั้นมีพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์ความงามต่างกันในแต่ละช่วงอายุ แบรนด์ต้องแยกพิจารณาระหว่างผู้บริโภคกลุ่ม มินเลนเนียลและผู้บริโภคกลุ่มอายุมาก

(กรุงเทพฯ ประเทศไทย มีนาคม 2566) ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ความงามในประเทศไทยได้เปลี่ยนความสนใจจากผลิตภัณฑ์แก้ปัญหา มาให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์เชิงป้องกันมากขึ้นในช่วงหลังการระบาดสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม แบรนด์ต้องพิสูจน์ให้ผู้บริโภค Gen Z เชื่อได้ว่าการป้องกันนั้นจะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการแก้ปัญหาผิวของพวกเขา รายงานฉบับล่าสุดจากมินเทล บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านข้อมูลการตลาด พบว่าผู้บริโภคเกือบหนึ่งในสี่คน (23%) ของกลุ่มตัวอย่างนี้เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าการจ่ายเงินเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจไม่เกิดขึ้นนั้นเป็นการสิ้นเปลืองเงินไปเปล่า ๆ

ในช่วงการระบาด ผู้บริโภคให้ความสนใจกับการแก้ปัญหาผิวพรรณ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นจากการสวมหน้ากากอนามัย ในปัจจุบัน ผู้บริโภคจำนวนมากกำลังมองหาวิธีที่จะป้องกันผิวของพวกเขาก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น รายงานจากมินเทลได้สำรวจลำดับความสำคัญของการดูแลผิวในกลุ่มผู้บริโภคแต่ละช่วงวัย

Gen X: การดูแลป้องกันสัญญาณแห่งวัยและผิวหมองคล้ำคือสิ่งที่ผู้บริโภคอายุ 42-57 ปี ให้ความสำคัญ พวกเขาสนใจซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีสรรพคุณช่วยแก้ปัญหาความหมองคล้ำ (64%) ริ้วรอยแห่งวัย (62%) และ จุดด่างดำ (60%)                                                                         

มินเลนเนียล: ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความเหมือนกับทั้งกลุ่ม Gen Z และ Gen X ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะมีอายุใกล้กลุ่มไหนมากกว่ากัน กลุ่มมินเลนเนียลอายุ 26-32 ปี นั้นมีความกังวลเกี่ยวกับสิวมากที่สุด (56%) และกลุ่มมินเลนเนียลอายุ 33-41 ปี มีความกังวลเกี่ยวกับริ้วรอยร่องลึกและรูขุมขนกว้าง (45% ตามลำดับ)

Gen Z: สิวและปัญหาที่เกี่ยวกับสิวเป็นความกังวลอันดับหนึ่งของผู้บริโภคกลุ่มนี้ ผู้บริโภค Gen Z อายุ 18-24 ปี กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระชับรูขุมขน (57%) ควบคุมความมัน (52%) และ ลดรอยแดง (37%)

แม้ว่าผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z และ มิลเลนเนียล กำลังให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ความงามเชิงป้องกันมากขึ้น ตลาดความงามยังคงเจอกับอุปสรรคบางประการในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในกลุ่มตลาดสำหรับ Gen Z ซึ่งรวมถึงการทำความเข้าใจบทบาทของการดูแลเชิงป้องกัน ค่าใช้จ่าย และการศึกษาผลิตภัณฑ์

การที่ผู้บริโภครุ่นใหม่กลุ่มนี้ไม่ให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเชิงป้องกัน ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาเลือกที่จะจ่ายเงินเพื่อแก้ปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ การขาดความเชี่ยวชาญในการใช้ผลิตภัณฑ์ความงามยังทำให้ผู้บริโภคประมาณ 1 ใน 4 (24%) พบเจอกับความยุ่งยากในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีตัวเลือกมากมาย และผู้บริโภคปริมาณใกล้เคียงกัน (26%) เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าการรับรู้ว่าผลิตภัณฑ์ชิ้นไหนเหมาะสมกับผิวของพวกเขานั้นเป็นเรื่องยาก

คุณ สิริณา ปุปผชาติ นักวิเคราะห์ตลาดความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ของมินเทลประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ข้อมูลที่พบชี้ให้เห็นว่าในด้านของความงาม ผู้บริโภคในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนจากการใช้ความคิดแบบเร่งด่วนที่เราพบเห็นได้ทั่วไปในช่วงวิกฤต มาเป็นการวางแผนเพื่ออนาคตและคิดอะไรเป็นระยะยาวมากขึ้นกว่าเดิม และนี่จะเป็นส่วนที่ผลิตภัณฑ์เชิงป้องกันจะได้รับความนิยมมากขึ้น

“ความกังวลด้านปัญหาผิวพรรณของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือความแตกต่างของมุมมองที่แต่ละกลุ่มมีต่อผลิตภัณฑ์ความงามเชิงป้องกันและโอกาสทางการตลาด ตัวอย่างเช่น ผู้บริโภค Gen X นั้นให้ความสำคัญกับการป้องกันมากที่สุด งานวิจัยของเราพบว่าผู้บริโภคมากกว่า 60% มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีการสื่อสารถึงการชะลอวัยผ่านคำว่า ‘Anti’ และพวกเขายังยอมรับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน มีหลายขั้นตอน รวมถึงการใช้อุปกรณ์ในการดูแลผิวพรรณอีกด้วย

“ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลก็มีความสนใจในการป้องกันเช่นกัน แต่แบรนด์ต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นอยู่ในช่วงอายุใด เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความหลากหลายสูง ผู้บริโภคมินเลนเนียลที่อายุน้อยมีการดูแลผิวและมีแรงกระตุ้นในการดูแลผิวในระดับสูง ซึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสามารถช่วยป้องกันไม่ให้พวกเขาต้องใช้กรรมวิธีเสริมความงามจากภายนอกเช่นการฉีดโบท็อกซ์ในอนาคต

“กลุ่มผู้บริโภค Gen Z นั้นถือเป็นโอกาสที่ใหญ่ที่สุดในตลาดความงามเชิงป้องกัน แบรนด์ต้องทำให้พวกเขาเชื่อว่าการซื้อผลิตภัณฑ์ความงามเชิงป้องกันนั้นมีความคุ้มค่า การพัฒนาประสบการณ์การใช้งานผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเชิงป้องกันเพื่อดึงดูดผู้บริโภค Gen Z รวมถึงการให้ความรู้ว่าการป้องกันนั้นสามารถช่วยให้พวกเขาประหยัดทั้งเงินและเวลา อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับแบรนด์ในระยะยาว”

นอกเหนือจากแนวโน้มด้านอายุแล้ว งานวิจัยจากมินเทลยังพบว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและผลิตภัณฑ์ป้องกันเป็นสองผลิตภัณฑ์หลักที่ผู้บริโภคในประเทศไทยใช้สำหรับการป้องกันปัญหาผิวพรรณ โดยผู้บริโภคจำนวนมากกว่าครึ่งบอกว่าพวกเขากำลังใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว (53% และ 52% ตามลำดับ)

หากจะพูดถึงอิทธิพลภายนอกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ ผู้บริโภคและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญนั้นถือเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ คำแนะนำจากแพทย์ผิวหนัง (46%) รีวิวจากลูกค้าออนไลน์ (43%) และ การรับรองจากหน่วยงานวิจัย (38%) ได้รับการอ้างอิงว่าเป็นแหล่งอิทธิพลสามอันดับแรกที่ทำให้การแสดงสรรพคุณของผลิตภัณฑ์มีความน่าเชื่อถือ


LINE VOOM ปล่อยแคมเปญ “ใครไม่เกิดบ้านเกิด” ชวนคนไทยแชร์ของดี ของเด็ด วัฒนธรรมเด่น ตอกย้ำความเป็น ‘Utilitainment Platform’ สาระได้สนุกด้วย

 


LINE VOOM บริการวิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์ม LINE เดินหน้าสร้างปรากฎการณ์ครั้งใหม่ เปิดตัวแคมเปญ “ใครไม่เกิด บ้านเกิด” ชวนผู้ใช้งานคนไทยบอกเล่าเรื่องราววัฒนธรรมเด่น ของดี ของเด็ดในจังหวัดบ้านเกิด ผ่านการสร้างสรรค์คอนเทนต์วิดีโอสั้นที่สนุกและให้สาระ ตอกย้ำจุดยืนในการเป็น Utilitainment Platform คอมมูนิตี้สำหรับคอนเทนต์ที่สาระได้สนุกด้วย

 

ปัจจุบันรูปแบบการนำเสนอคอนเทนต์วิดีโอสั้นกำลังได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม สะท้อนได้จากการเติบโตของคอนเทนต์วิดีโอสั้นบน LINE VOOM โดย อันดับแรกของคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมสูงได้แก่ การตกแต่งบ้าน DIY อาหาร และความบันเทิง นอกจากนี้ รายงานเทรนด์ผู้บริโภคทั่วโลกในปี 2566 ของ Mintel ระบุว่า “ท้องถิ่นนิยม” เป็นเทรนด์สำคัญที่มีผลต่อรูปแบบการบริโภคของผู้คน ซึ่งเทรนด์นี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคที่มีต่อการปกป้องและส่งเสริมทรัพยากรในท้องถิ่น สอดคล้องกับความตั้งใจของ LINE VOOM มุ่งเน้นการสร้างคอนเทนต์ที่ให้ทั้งสาระและความสนุก จึงได้ริเริ่มแคมเปญ ใครไม่เกิดบ้านเกิด” เพื่อนำเสนอวัฒนธรรม ประเพณี อาหาร และเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นที่คนนอกถิ่นไม่รู้สู่สายตาคนทั้งประเทศ

 

แคมเปญ ใครไม่เกิดบ้านเกิด ชวนผู้ใช้งาน LINE มาร่วมสร้างสรรค์คอนเทนต์วิดีโอสั้น เพื่อยกระดับของดีประจำบ้านเกิด ผ่านการเลือกสรรเรื่องราวเดิมหรือเรื่องราวใหม่ที่น่าสนใจเข้ากับบริบทสมัยใหม่ หรือนำเรื่องราวสมัยใหม่มาปรับให้เข้ากับเอกลักษณ์ของท้องถิ่น สะท้อนเอกลักษณ์ของบ้านเกิดได้อย่างสนุกสนาน แปลกใหม่ และเข้าถึงง่าย โดยใช้เครื่องมือการถ่ายทำ ตัดต่อ ใส่เพลง เพิ่มเอฟเฟกต์ และฟิลเตอร์แบบครบจบในที่เดียว ในแคมเปญนี้ยังได้ สิงโต-นำโชค ศิลปินมากความสามารถที่ผสมผสานวัฒนธรรมและผลงานเพลงได้อย่างลงตัว มานำทัพครีเอเตอร์ในการสร้างคอนเทนต์ พร้อมยังได้แต่งเพลงพิเศษสำหรับนำไปใช้ในการตัดต่อวิดีโอใน LINE VOOM ประเทศไทยอีกด้วย

 

ผู้ใช้งาน LINE VOOM สามารถร่วมแคมเปญ ใครไม่เกิดบ้านเกิด ได้ง่าย ๆ เพียงเพิ่มเพื่อนกับ LINE VOOM Official Account ด้วยบัญชีผู้ใช้งานส่วนตัว แล้ว (1) โพสต์วิดีโอสั้นหรือรูปภาพเพื่ออวดของดีประจำบ้านเกิดบนแพลตฟอร์ม LINE VOOM พร้อม (2) ติดแฮชแท็ก #ใครไม่เกิดบ้านเกิด และ (3) ตั้งค่าโพสต์เป็นสาธารณะ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 21 พฤษภาคม 2566 พร้อมลุ้นรับของรางวัลมากมาย (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://lin.ee/hC2wGGC/wcvn)

 

LINE VOOM มุ่งมั่นในการเป็น Utilitainment Platform โดยสนับสนุนการสร้างและนำเสนอคอนเทนต์แบบวีดีโอสั้นที่สาระได้สนุกด้วย

Bridgestone พัฒนาผลิตภัณฑ์ยางสมรรถนะสูง ตอบโจทย์รถซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ Lamborghini Revuelto ได้อย่างลงตัว

 


Bridgestone ได้รับเลือกให้เป็นพันธมิตรร่วมกับ Lamborghini พัฒนายางสำหรับรถซูเปอร์คาร์       รุ่นใหม่ และสมรรถนะสูงอย่าง Lamborghini Revuelto 

รถซูเปอร์คาร์ Lamborghini Revuelto มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ      ได้แก่ Bridgestone Potenza Sport ซึ่งเป็นยางสมรรถนะสูง และ Bridgestone Blizzak LM005*          ซึ่งเป็นยางสำหรับฤดูหนาว ช่วยตอบโจทย์สมรรถนะการขับขี่ของ Lamborghini Revuelto ได้อย่างลงตัว • ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นผลมาจากความสำเร็จที่ผ่านมาของ Bridgestone ในการพัฒนายางสำหรับรถซูเปอร์คาร์ Lamborghini รุ่น Huracán STO, EVO, Tecnica และ Sterrato

[บรัสเซลส์] (27 เมษายน 2566)Bridgestone ได้รับเลือกอีกครั้งจาก Lamborghini ให้เป็นผู้พัฒนายางสำหรับรถซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่อย่าง Lamborghini Revuelto เครื่องยนต์ V12 ซึ่งเป็นรถซูเปอร์สปอร์ตระบบไฮบริดและเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงรุ่นเเรกของ Lamborghini ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ Bridgestone Potenza Sport ยางสมรรถนะสูง และได้รับออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อตอบโจทย์สมรรถนะของ Lamborghini Revuelto ซึ่งมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ขับเคลื่อนล้อหน้า และเครื่องยนต์สันดาป V12 ขับเคลื่อน     ล้อหลัง    

ผลิตภัณฑ์ Bridgestone Potenza Sport มีด้วยกันถึง 3 ขนาด ได้แก่ ยางขอบ 20, 21 และ 22 นิ้ว            เพื่อยกระดับการขับขี่ของรถรถซูเปอร์สปอร์ตรุ่น Lamborghini Revuelto ด้วยการออกแบบของยางซึ่งช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพ ควบคุมการตอบสนองของพวงมาลัยได้ดี และมีความแม่นยำ ตอบโจทย์กับ DNA ของ Lamborghini Revuelto ได้อย่างลงตัว นอกจากนั้นยังช่วยยึดเกาะบนถนนเปียกและถนนแห้งได้ดี       อีกด้วย  

ผลิตภัณฑ์
Bridgestone Potenza Sport  สำหรับรถซูเปอร์คาร์ Lamborghini Revuelto เป็นยางรันแฟลต (RFT) ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ปลอดภัยและอุ่นใจในการเดินทางแม้ยางจะรั่ว และสามารถขับขี่ต่อไปได้อีก 80 กิโลเมตร โดยใช้ความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง 

พัฒนายางที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผู้ขับขี่ทุกประเภท           
รถซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ Lamborghini Revuelto ยังมาพร้อมกับผลิตภัณฑ์ Bridgestone Blizzak LM005       ซึ่งเป็นยางสำหรับฤดูหนาว มีประสิทธิภาพที่ดีในการยึดเกาะบนหิมะ ในขณะเดียวกันยังให้การตอบสนองของพวงมาลัยที่ปลอดภัย และยังช่วยเพิ่มความแม่นยำในการขับขี่บนถนนแห้งและถนนเปียกได้ดีอีกด้วย

Steven De Bock รองประธานกรรมการฝ่ายตลาดทดแทนยางรถยนต์นั่งและรถกระบะ และยางสำหรับกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ ของ Bridgestone EMIA กล่าวว่า บริดจสโตนพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ Lamborghini ซึ่งช่วยเติมเต็มและตอบโจทย์สมรรถนะการขับขี่ของรถซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่สมรรถนะสูง Lamborghini Revuelto ได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยเทคโนโลยียางรันแฟลตโดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพการใช้งาน นอกจากนี้ เรายังเตรียมยางสำหรับฤดูหนาวที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษไว้ด้วยซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่และยังทำให้มั่นใจในการขับขี่ได้อย่างเร้าใจตลอดทุกเส้นทางและตลอดทั้งปี        

ความร่วมมือที่แข็งแกร่งในการพัฒนา ยางสำหรับรถซูเปอร์คาร์ Lamborghini  
Cristian Mastro ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Lamborghini กล่าวว่า เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ Bridgestone ในฐานะพันธมิตรพัฒนายางสำหรับเราอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการสานต่อความร่วมมือที่แข็งแกร่งร่วมกันเพื่อรถซูเปอร์คาร์ของเรานับตั้งแต่การพัฒนายางสำหรับรถซูเปอร์คาร์ Lamborghini รุ่น Huracán STO, EVO, Tecnica และ Sterrato ที่ผ่านมา          

ยาง Bridgestone สำหรับรถซูเปอร์คาร์ Lamborghini Revuelto ได้รับการพัฒนาและผลิตในประเทศอิตาลี และยังได้รับการทดสอบที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งยุโรป โดยใช้เทคโนโลยี Virtual Tyre Development ของ Bridgestone เป็นระบบดิจิทัลพัฒนาและทดสอบสมรรถนะของยางก่อนที่จะสร้างยางต้นแบบออกมา ซึ่งช่วยลดการสิ้นเปลืองวัตถุดิบและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างการพัฒนาและทดสอบยาง


ผลิตภัณฑ์
Bridgestone Potenza Sport ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรถซูเปอร์คาร์ Lamborghini Revuelto โดยใช้เทคโนโลยียางรันแฟลต มีทั้งขนาด 265/35 ZRF20 สำหรับล้อหน้า และ 345/30 ZRF21 สำหรับล้อหลัง และ 265/30 ZRF21 สำหรับล้อหน้า และ 355/25 ZRF22 สำหรับล้อหลัง นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ Bridgestone Potenza Sport ยังมีขนาดยาง 265/35 ZR20 สำหรับล้อหน้า และ 345/30 ZR21 สำหรับล้อหลังของ ซึ่งได้การออกแบบให้เป็นยางที่ไม่มียางในอีกด้วย และยังมีผลิตภัณฑ์ Bridgestone Blizzak LM005 เป็นยางสำหรับฤดูหนาว มีทั้งขนาด 265/35 R20 สำหรับล้อหน้า และ 345/30 R21 สำหรับล้อหลัง   

ความร่วมมือในครั้งนี้ของ Bridgestone กับ Lamborghini ยังเป็นการสานต่อวิสัยทัศน์เพื่อส่งมอบคุณค่าให้แก่สังคมและลูกค้าในฐานะองค์กรผู้ส่งมอบโซลูชั่นอย่างยั่งยืน โดยมี Bridgestone E8 Commitment (พันธสัญญา E8 ของบริดจสโตน) เป็นแกนหลัก ด้วยการเป็นพันธสัญญาขององค์กรระดับโลกในการส่งมอบคุณค่าให้แก่สังคม ลูกค้า และคนรุ่นต่อไปในอนาคตผ่านคุณค่าทั้ง 8 ด้าน ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับ ด้าน Emotion (ความรู้สึก) ด้วยการปลุกพลังบันดาลใจ เติมเชื้อไฟแห่งความตื่นเต้นสู่โลกแห่งการเดินทาง

*หมายเหตุ: ผลิตภัณฑ์ Bridgestone Blizzak LM005 ยังไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย


ที ลีสซิ่ง จับมือ ศรีประจันต์วัฒนยนต์ จัดอบรม "ขับขี่ปลอดภัย ร่วมใจลดมลพิษ" โรงเรียนสงวนหญิง จ.สุพรรณบุรี

  บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด  ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้ อรถจักรยานยนต์  ในเครือ เอ็ม บี เค  เล็งเห็นความสำคัญของการขับขี่ รถบนท้องถนนอย่างปลอ...